Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การพัฒนาการวงการรถยนต์เมืองไทยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

ทุกวันนี้ประเทศไทยเรามีการพัฒนาการในวงการรถยนต์เป็นไปอย่างรวดเร็วและด้วยยอด ขายรถยนต์ที่อยู่ในระดับแนวหน้าในกลุ่มอาเซียนและในฐานะที่เราเป็นประเทศ ที่กำลังมุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์และได้รับความ เชื่อมั่นจากนักลงทุนให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ในกลุ่มอาเซียน ดูเหมือนประเทศไทยเราจะล้ำหน้าประเทศเพื่อนบ้านในประเทศ อาเซียน ด้วยกันไปหลายขุม แล้วเราเคยถามตัวเราเองหรือไม่ว่าแล้วประเทศเพื่อนบ้านของเราเขาใช้รถอะไร กัน ล่ะ หากเปรียบเทียบกับประเทศไทยเป็นอย่างไร
ผม มีข้อมูลบางส่วนและมุมมองของผมเองมานำเสนอในมุมมองที่แตกต่างดังนี้

1. ทำไมประเทศไทยจึงนิยมปิคอัพ มากกว่ารถประเภทอื่นๆ
ก่อนอื่นเราลองมาพิจารณา ข้อมูลภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ที่ขายอยู่ในบ้านเรา ตามตารางด้านล่าง

ประเภทของรถยนต์และ %ภาษี สรรพสามิต

5.01 - รถยนต์นั่ง 35
(1.2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,400 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร- 3000 41%
(1.3) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือ 48 %
(2) รถยนต์นั่งตรวจการณ์ (OFF-road Passenger Vchicle : OPV) 29 %
(3) รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Pink-upPassenger Vehicle : PPV) 18 %
(4) รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (DOUBLECAB) 4 ประตู 12 %

5.02 - รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน10 คน
(1) ที่ผลิตสำเร็จรูป หรือที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์กระบะหรือสิ่งใดๆ
(1.1) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,400 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร 35 %
(1.2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร 41 %
(2.1) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,400 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร 35 %
(2.2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร 41 %

5.9 (1) รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนัก ไม่เกิน 4000กิโล
(1.1) ซึ่งมีคุณลักษณะตามที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด 3 %
(1.2) ซึ่งมีคุณลักษณะนอกจาก(1.1) 18 %

เรา จะพบว่ารถปิคอัพเป็นรถยนต์ประเภทเดียวที่เสียภาษีสรรพสามิตต่ำที่สุด เพียง3 % ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้ค่ายรถยนต์แทบจะทุกๆค่ายใช้รถยนต์ปิคอัพเป็นหัวหอกในการทำตลาดมา มากกว่า 20 ปี จนกระทั่ง คนไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศ ที่ใช้รถปิคอัพมากที่สุดเป็นอันดับที่2ของโลก รองจาก ประเทศอเมริกา

แต่ ความเป็นจริงแล้วคนในประเทศเราใช้รถยนต์ผิดจุดประสงค์ กล่าวคือ ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ใช้รถปิคอัพเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคลมากกว่าที่จะใช้ในการบรรทุก สินค้าจากการกเษตร หรือขนสินค้า ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นรถยนต์ที่ราคา ถูกที่สุดและเสียภาษีรายปีต่ำกว่ารถยนต์ประเภทอื่นๆ ซึ่งนี้เป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ ปิคอัพในเมืองไทยพยายามทุมทุนที่จะทำให้รถปิคอัพดูคล้ายรถยนต์นั่งให้มากที่ สุด และทำให้มี ห้องโดยสารที่เราเรียกว่า Cab กันทุกยี้ห้อเพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเข้าไปนั่งโดยสารได้โดยการเก็บคองอเข่า กันตามอัตรภาพ
หลังจากที่มีการผลิตรถยนต์ปิคอัพที่มีcabออกมา ก็มีคนหัวใสทำหลังคาออกมาครอบด้านหลังแล้วทำเบาะให้กลายเป็นที่นั่ง ซึ่งไม่ได้ออกแบบที่นั่งแบบนี้ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัย ในการโดยสารเลยแม้แต่นิดเดียวแล้วก็ขายจนร่ำรวยกันไปหลายราย
จนในช่วง 5ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่าเริ่มมีรถปิคอัพที่มี 4 ประตูออกมาวิ่งให้เห็นกันมากขึ้น ก็ด้วยภาษีที่เปลี่ยนแปลงลดลง เป็นมาเป็น12 % ซึ่งทำให้ราคาลดลงมาระดับหนึ่งจนเป็นทางเลือกที่ดูว่าจะดีขึ้นอีกระดับ
หาก เราเหลือบตามองประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนของเราที่มี วิถีชีวิตคล้ายๆ กับคนไทยคือคนส่วนใหญ่เป็น เกษตรกรและ มีวิถีชีวิตคล้ายกันกับคนในประเทศเราแล้วพวก เขานิยมใช้รถยนต์ประเภทไหนกัน

1. อินโดนีเซีย
อิน ดิเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดคือ 220ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 3 เท่าตัว มีระบบการจารจรเหมือนกับประเทศไทย คือพวงมาลัย อยู่ ด้านขวาของรถยนต์
รถยนต์ ที่ขายดีที่สุด ในประเทศนี้ก็คือ TOYOTA Kijang ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งชนิด 7 ที่นั่ง ที่ใช้เครื่องยนต์ ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร ชนิดเดียวกับที่เคยใส่ในรถปิคอัพ บ้านเรา และเบนซินขนาด 2.0 ลิตร รถยนต์ ประเภทนี้ ใช้ระบบรองรับคล้ายกับรถปิคอัพบ้านเราแต่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งาน เป็นรถยนต์นั่ง และที่สำคัญรถประเภทนี้สามารถพับเบาะที่นั่งให้สามารถใช้ในการบรรทุกของได้ ด้วย
ราคาขายในประเทศอินโดนีเซีย อยู่ที่ 450000 ถึง 7500000 บาท ขึ้นอยู่กับออฟชั่นที่เพิ่มเข้าไป

2. ฟิลิฟปินส์
ประเทศ ฟิลิฟปินส์ เป็นประเทศที่มีประชากร80 ล้านคน ใกล้เคียงกับประเทศไทยเราแต่มีระบบการจารจรต่างจากประเทศไทย คือพวงมาลัย อยู่ ด้านซ้ายของรถยนต์
รถยนต์ขายดีที่สุดในประเทศนี้ก็เป็นรถยนต์จาก ค่าย TOYOTA ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับ KIJANG แต่ใช้ชื่อว่า Toyota Tamaraw หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ RAVO โดยมีอุปกรณ์ และรูปร่างคล้ายคลึงกันกับ KIJANG ในอินโดนีเซีย
ราคาขายรถยนต์ รุ่นนี้ ในประเทศ ฟิลิฟปินส์ อยู่ ที่ 630,000-797,000 เปโซ ก็ประมาณ 550000-720000 บาท
ลอง พิจารณารูปลักษณ์ภายนอกและภายในของรถยนต์รุ่นนี้ ว่าเขาออกแบได้ดีและเหมาะสมกับการใช้งานของครอบครัวที่มีสมาชิก 5-6 คนที่ต้องเดินทางพร้อมกันบ่อยๆ แล้วราคาก็ไม่ได้ แตกต่างจาก ปิคอัพในบ้านเราเลย นอกจากนี้ รถรุ่นเดียวกันก็มีการทำออกมาเป็นปิคอัพด้วย เพื่อใช้บรรทุกสินค้า

3. มาเลเซีย
ประเทศ มาเลเซีย เป็นประเทศที่มีประชากร 22 ล้านคน มีระบบการจารจรเหมือนกับประเทศไทย คือพวงมาลัย อยู่ ด้านซ้ายของรถยนต์
รถ ยนต์ขายดีที่สุดในประเทศนี้ก็เป็นรถยนต์จาก ค่ายรถยนต์ ที่เกิดจากการทุ่มทุนสร้างของรัฐบาลของเขาเองให้เป็นรถยนต์ แห่งชาติ คือ ยี้ห้อ โปรตรอน ซาก้า และ เปอร์ดัว
โดยรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในประเทศนี้คือ Proton Wira ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับรถ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ในบ้านเรา
และอีกยี้ห้อหนึ่งก็คือ เปอร์ดัว รถยนต์รุ่นนี้ เป็นการจับมือร่วมกับไดฮัทสุ โดยพัฒนาออกมาหลากหลาบรุ่นโดยเน้นให้เป็นรถ ซิตี้คาร์
ราคา ขายรถยนต์ ในประเทศ มาเลเซีย เริ่มต้น ที่ 250,000 บาท สำหรับรถขนาดเล็ก และในมาเลเซียเองก็มีรถยนต์ประเภทเดียวกันกับอินโดนีเซียและฟิลิฟปินส์ ทำตลาดอยู่เช่นกัน
แล้วเขาใช้รถอะไรในการบรรทุกของหรอสินค้าทางกัน ในประเทศเพื่อนบ้านชองเราเองก็มีรถปิคอัพเหมือนกันแต่ลักษณะของรถเหล่านี้ มุ่งเน้ประโยชน์ ในการบรรทุกจริงๆไม่ใช่ทำออกมาเพื่อเป็นรถยนต์นั่ง ลองมาดูลักษณะของรถปิคอัพที่เขาใช้กันดังนี้ โดยรถยนต์ตามรูปนี้เป็นรถยนต์ปิคอัพขนาด 1 ตัน จากค่าย เกาหลี ยี้ห้อเกียมอเตอร์ และ MITSUBISHI ซึ่งค่ายรถยนต์อื่นอื่นเองก็มีรถปิคอัพแบบเดียวกันนี้จำหน่ายอยู่ในประเทศ เพื่อนบ้านของเราเช่นกัน

ส่วนในประเทศอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึงเช่นลาว พม่า กัมพูชา หรือ เวียดนามประเทศเหล่านี้ ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการใช้รถยนต์ด้วยเหตุผลเนื่องจากประชากรยังมีราย ได้ไม่มากพอและถนนหนทางยังไม่ได้รับการพัฒามากพอที่จะทำให้คนในประเทศนิยม ใช้รถส่วนตัวแต่ก็ไม่มีประเทศไหนที่มีแนวทางการใช้รถแบบคนไทยเลย คือ ปิคอัพมี Cab

จากข้อมูลที่นำมาเสนอ หากเราหันมามองตลาดรถยนต์บ้านเราทุกวันนี้ซึ่งคนส่วนใหญ่มีความต้องการรถ ยนต์นั่งหรือรถที่สามารถที่จะพาสมาชิกในครอบครัวเดินทางไปยังที่ต่างๆ แต่ไม่ค่อยจะมีทางเลือกมากนักเพราะเนื่องจากราคารถยนต์ที่สูงมากเกินความ เป็นจริงอย่างมากเช่นรถยนต์นั่งขนาด1600 ซีซีหรือรถปิคอัพสี่ปะตูที่มีผลิตออกมาขายในบ้านเราราคาเริ่มต้นก็ปาเข้าไป 7-8 แสนแล้วหรือรถยนต์รถยนต์ประเภทที่ดัดแปลงมาจากปิคอัพที่สามารถบรรทุกผู้ โดยสารได้ 5-7 คน ล้วนแล้วมีราคาเกือบหนึ่งล้านบาททั้งนั้น ก็เลยต้องเลือกใช้ปิคอัพแล้วนำหลังคาไฟเบอร์หรือหลังคาเหล็กมาใส่ เพราะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่มี และสามารถเลือกได้
นอกจากรถยนต์จาก ค่ายTOYOTA ที่ผมนำมากล่าวถึงยังมีรถยนต์ค่ายต่างๆ ก็มีรถชนิดนี้ หรือ ที่เรียกกันว่า AUV (ASIAN UTILITY VEHICLE )ขายอยู่ในตลาดเพื่อนบ้านเราเกือบทุกประเทศ แต่ก็ไม่เคยมีค่ายใด นำรถยนต์เหล่านี้มาให้คนไทยได้สัมผัสกันเลยเช่นตัวอย่างรถที่นำมาให้ชมคือ ISUZU PANTER หรือ MITSUBISHI KUDA

จากที่ได้นำเสนอมาสิ่งที่ผมอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมองเห็นและหาแนวทางในทางแก้ไขและพัฒนาวงการรถยนต์ในประเทศเราดังนี้

จาก ข้อมูลเบื้องต้นผมคิดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องควรหันมาพิจารณาและแก้ไขในสิ่ง เหล่านี้ เพื่อให้วงการรถยนต์บ้านเราพัฒนาตามเพื่อนบ้านของเราให้ทัน ในด้านความคิดในการใช้รถยนต์

1 . เลิกการแบ่งแยกการเก็บภาษีตามชนิดของรถยนต์หรือจำนวนที่นั่งหรือระบบรองรับ ว่าเป็นแหนบหรือคอยล์สปริงแต่เปลี่ยนวิธีการจัดเก็บเป็นตามขนาดความจุของ เครื่องยนต์ หรืออัตราการบริโภคน้ำมันของรถยนต์ทั่งนี้เพื่อจุดประสงค์เพื่อ
1.1 คนไทยทุกคนสามารถเลือกรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในราคาที่เหมาะสม เช่นมีครอบครัวที่ต้องเดินทางด้วยกันบ่อยๆมากกว่า 5-7 คนก็น่าที่จะเลือกรถยนต์ขนาด 7 ที่นั่งได้ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกับรถปิคอัพในปัจจุบันจะได้ไม่ต้อง มานั่งอัดกันในแค็บเล็กๆ หรือต้องไปเสียเงินเพิ่มเพื่อต่อหลังคาหรือเสี่ยงกับการนั่งบนหลังกระบะหลัง

1.2 หาก จักเก็บภาษีตามอัตราการบริโภคน้ำมันของรถยนต์ค่ายรถยนต์ที่มีอยู่จะได้นำ เทคโนโลยีที่ดีจริงๆเช่นพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่มีสมรรถนะสูงมาใส่ในรถ เช่นเครื่องยนต์ดีเซล common rail ขนาดไม่เกิน สองพัน ซีซี ที่สามารถใช้น้ำมันได้อย่าประหยัดมาแข่งขันแทนเครื่องยนต์ที่มีแต่จะใหญ่ ขึ้นทุกวันๆ เพาะเครื่องยนต์ที่ใหญ่เกินความต้องการและนำเสนอความแรงที่ล้วนแล้วแต่เป็น ต้นต่อของอุบัติเหตุร้ายแรงที่เราเห็นกันทุกๆวัน
ทั้งนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกันในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการประหยัดน้ำมันกันมากขึ้นอีกด้วย
1.3 หากเรามุ่งที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นผู้ผลิตรถยนต์สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่ง ก็คือการเปิดโลกทัศน์ของผู้ใช้รถยนต์ในประเทศจะทำให้เกิดแนวทางการพัฒนาการ ออกแบบรถยนต์ที่เหมาะสมกับคนไทยและคนในภูมิภาคอาเซียนของเราพร้อมกับทำให้ เราสมารถผลิตรถยนต์ในราคาที่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยซึ่งยังคงมีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหรรมรถยนต์ อยู่ในขณะนี้สามารถออกแบบและพัฒนาเพื่อผลิตรถยนต์ของคนเอเชียเพื่อขายให้กับ ประเทศเพื่อนบ้านได้ในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืมหรอมองข้ามก็คือ ทุกๆประเทศในอาเซียนล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริโภคเทคโนโลยีและพลังงานด้วยกัน ทั้งหมด หากประเทศไทยเราสามารถผลิตรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันได้ มากกว่า18 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร ที่ความเร็วเฉลี่ย 100กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และยังสามารถ บรรทุกผู้โดยสารได้ 5ถึง7คนและสามารถปรับเปลี่ยนเป็นรถบรรทุกของได้ ในบางโอกาสที่ต้องการแน่นอนเลยว่าตลาดในประเทศอาเซียนที่กำลังเติบโตภายใน 10 ปีข้างหน้ากำลังรอเราอยู่ยกเว้นแต่เราจะยังคงเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตรถ ปิคอัพต่อไป

2 ออกกฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วเกี่ยวกับการห้ามการโดยสารบนกระบะที่เปิดโล่งบนถนน หรือ ทางหลวง
ทุก วันนี้เรายังสามารถเห็นคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่คำนึงถึงความไม่ปลอดภัยในการ โดยสารรถยนต์โดยการนั่งโดยสารบนกระบะหลังบนทางหลวงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่นำเอาถังบรรจุน้ำแล้วออกมาวิ่งสดน้ำกันตามถนนซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการ เสียชีวิตเป็นจำนวนมากทุกๆปี
ในเรื่องการโดยสารบนกระบะหลังที่เปิดโล่ง ในประเทศเพื่อนบ้านของเราเช่น ฟิลปปินส์ เขามีกฎหมายที่เข็มงวดกันมานานแล้วและเขาปลูกฝังให้กับเด็กๆในประเทศของเขา โดยห้ามนั่งโดยสารบนกระบะที่เปิดโล่งโดยเด็ดขาด ผมว่าเขากล้าที่จะออกกฏหมายเรื่องนี้ออกมาและบังคับใช้อย่างเข้มงวดก็เพราะ รัฐบาลลของเขาคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของคนในประเทศของเขา

3 อยาก ให้รัฐได้โปรดยกเลิกการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนที่แสนจะล้าหลัง และสุดแสนจะเชยแสนเชย เช่นการจัดเก็บภาษี สรรพสามิตในระบบปรับอากาศรถยนต์ และแบบเตอรี่ เพราะชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยเลยแม้แต่น้อยแต่มันเป็นชิ้น ส่วนที่ความจำเป็นในรถยนต์ จริงๆ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าราชการสมัยใดหรือ ผู้แทนของเราคนใดเป็นคนคิดว่าระบบแอร์หรือแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยจน ต้องเข้าไปจัดเก็บาษีสรรพสามิต สงสัยท่านเหล่านี้คงใช้รถยนต์ที่สตาร์ท ด้วยมือหมุนแล้วก็ไม่ต้องเปิดแอร์เพราะขับกันอยู่ในท้องนาอย่างเดียว

4 หาก จะพัฒนาประเทศเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ เราควรคิดหาทางที่จะเพิ่มโทษสำหรับผู้ที่มีอาชีพในการโจรกรรมรถยนต์ให้สูง ขึ้นเพื่อเป็นการทำให้ผู้คนที่ต้องการซื้อรถอุ่นใจว่าหากมีใครที่กล้าที่จะ ขโมยรถเขาควรเสี่ยงกับโทษจำคุกมากกว่า 20ปี เพราะโทษที่มีอยู่ทุกวันนี้มันเบาจนคุ้มที่จะเสี่ยงเป็นโจรขโมยรถ

5 กำหนด ประเภทรถยนต์บรรทุกให้ชัดเจนเพื่อแยกแยะชนิดของรถบรรทุกและรถยนต์นั่งให้ ชัดเจนมากขึ้นไม่ควรให้เกิดช่องโหว ที่ทำให้เกิดการพัฒนารถยนต์แบบแหว่งๆกระท่อนกระแท่นแบบที่ผ่านมาในอดีต
แต่ การเปลี่ยนแปลง เหล่านี้ ก็คงต้องอาศัยความกล้าอย่างมากของรัฐบาลในการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทับถมกันมานานและกระทบกับภาษีซึ่งเป็นรายได้ของรัฐบาล แตผมก็หวังว่าจากข้อมูลที่ได้นำเสนอมาสามารถที่จะไปสะกิดใจท่านผู้นำประเทศ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายให้หันมามองว่าหากเรามุ่งที่จะพัฒนาประเทศไทย ของเราให้เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในอาเซียน เราควรหันมามองปัจจัยที่ยังเป็นอุปสรรคในการพัฒนาหรือยังปิดกั้นตลาดใน ประเทศตัวเองอีกทั้งยังปิดกั้นการพัฒนาฝีมือในการผลิตรถยนต์ของคนไทย เพราะว่าไม่มีประเทศที่เป็นผู้นำด้านรถยนต์ประเทศไหนที่คนส่วนใหญ่ในประเทศ ของเขารู้จักแค่ปิครถปิคอัพ หรือมีไม่มีปัญญาที่จะซื้อรถที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองจริงๆมาใช้เพราะ ติดอยู่ที่ภาษีที่ทำให้รถยนต์ถูกและแพงต่างกัน มากซึ่งไม่ใช่เกิดจากสมรรถนะ ชนิด หรือ ลักษณะ คุณภาพ ของรถยนต์แต่เลือกเพราะมันเสียภาษีถูกดี
ตัวผมเองยังมีความหวังว่าผม อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนที่ประเทศไทยเราจะล้าหลังทางความคิด เกี่ยวกับการใช้รถยนต์หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเราไปมากกว่า นี้
เรียบเรียงโดย สมเกียรติ

Misubishi Lancer E-car รถที่เหมาะสำหรับมือใหม่

Mitsubishi ที่จะกล่าวถึงข้อนี้ คือ รุ่นยอดนิยม ที่เรียกว่า อีคาร์ (ปี 1992-1996) เป็นรถที่ขอแนะนำสำหรับ ผู้ที่จะเริ่มต้นขับรถมือสองคันแรก ด้วยราคาที่ต่ำ กว่ายี่ห้ออื่นๆในตลาด ในปีที่ผลิตเดียวกัน เมื่อเทียบกับ Toyota รุ่น 3 ห่วงหรือ ท้ายแตงโม ,Honda Civic โฉมเตารีด ที่บางคันทะลุไปกว่า 3แสนบาท แต่ อีคาร์ยังยืนหยัด ที่ราคาไม่เกิน 2แสนปลายๆรถที่จะขอแนะนำ ในที่นี้ จะเป็น รุ่น Lancer GLXI1.5 เกียร์อัตโนมัติ ปี96 หรือ รุ่นที่เรียกว่ากันชนใหญ่ ราคากลางอยู่ที่ 2.5แสน อาจจะขยับไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพ เครื่องยนต์ เป็นระบบหัวฉีด แบบ ECI-Multi รหัสเครื่องยนต์ 4G15 แบบ 12วาล์ว 90 แรงม้า แคมชาฟท์เดี่ยวพร้อม เกียร์อัตโนมัติแบบ 3 จังหวะ เน้นที่ความประหยัด สมรรถนะ ปานกลาง ไม่หวือหวามากระบบช่วงล่างหน้า เป็น แมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเป็น อิสระ-Multi link ให้ความนุ่มนวล ดีทีเดียว สามารถทำความเร็วได้ สูงสุดที่ 145 Km/h และไม่มีอาการ สั่นเมื่อ ขับคนเดียวที่ความเร็ว100-120 Km/h โดยที่ระบบล้อทั้งสี่ เป็นแบบ แมก 3 ก้าน R13 มาตรฐานเดิมๆ จากโรงงานอัตราการกินน้ำมัน ต้องยอมรับว่า ประหยัดใช้ได้ ที่ทางไกล จะกินราวๆ 14-15 Km/literส่วนในเมือง ก็ราวๆ 9-12 Km/liter นับว่าคุ้มค่าทีเดียว แต่บางครั้งต้องยอมรับว่า สมรรถนะ ค่อนข้างอืด ถ้านั่งเต็ม 4 ที่นั่ง แต่เป็นเพราะ ระบบเกียร์อัตโนมัติที่ค่อนข้าง ไม่ทันใจมากกว่ามีบางท่านกล่าวว่า รถรุ่นนี้ จุกจิก อะไหล่แพงมาก ไม่น่าเล่น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วรถรุ่นนี้ ไม่ได้จุกจิกมากมายอะไร อาจจะเป็นเพราะ หาช่างรู้ใจยาก พอซ่อมไม่ถูกจุด แล้วไม่หายก็เลยเหมาว่าจุกจิก จริงๆแล้วในระบบเครื่องยนต์ตัวนี้ ตัวที่เป็นปัญหาที่สุด และมีไม่กี่จุดก็คือ ตัวชดเชยรอบเดินเบา ( Idle Speed Control) คือจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นของใหม่ จากศูนย์เท่านั้น และ Sensor ในระบบ อีก 2-3 ตัว ซึ่งพังตามอายุการใช้งาน ที่ 5-8 ปีส่วนอะไหล่อื่นๆสามารถหาของเทียบ หรือ ของแท้ นอกศูนย์ยริการ แถววรจักร หรือ ของเซียงกงได้เลยราคาไม่แพงอย่างที่คิด เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองเพราะระบบเครื่องยนต์และเกียร์ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานที่รอบไม่สูงมากนักแต่ถ้าหาก เกิดเบื่อขึ้นมา อยากได้ สมรรถนะที่หวือหวา จัดจ้าน รถรุ่นนี้ได้ใช้ พื้นฐานการผลิตเดียวกันกับ รถแข่งตระกูล EVOLUTION I-III จึงสามารถเปลี่ยนเครื่องยนต์ ที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น ที่วางขายตามเชียงกง ได้เลยโดยไม่ต้องมีการดัดแปลงใดๆ โดยเครื่องยนต์มีให้เลือกหลายรุ่นหลายขนาด ทั้งเครื่อง 4G9x 1800cc , 4G6x 2000cc มีทั้ง ธรรดา และ Turbo และ รุ่น4G63T Turbo 240 แรงม้า Evolution ส่วนราคาค่าเครื่องพร้อมวาง ก็ตกราวๆ 5 หมื่น - 2 แสนบาทตามแต่รุ่น และ กำลังทรัพย์ของเจ้าของแต่ถ้าไม่คิดจะวางเครื่อง แต่ จะขยับขยายไป เล่น รถใหม่ หรือ มือสองยี่ห้ออื่นๆ ก็ไม่ผิดกติกาอันใด การขายต่อ ก็ยังนับว่าไม่ขาดทุนมาก เมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อมา สามารถปล่อยที่ราคา 2แสนเศษๆ ได้สบายๆ ดังนั้น ด้วยทางเลือก ที่มีมากกว่า และ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลัง มองหารถมือ2 คันแรก ด้วยงบที่ไม่สูงมาก เทียบกับความคุ้มค่า ได้รถที่ใหม่กว่า จึงเป็นรถรุ่นหนึ่ง ที่น่าสนใจทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Toyota Soluna รถครอบครัวยอดประหยัด


สำหรับ ผู้ที่กำลังมองหารถยนต์คันแรก หรือรถครอบครัวขนาดย่อม เน้นขับในเมือง ประหยัดน้ำมัน ซ่อมง่าย ปีใหม่ ราคาถูก โซลูน่าก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจมาก เพราะมีคุณสมบัติรถเมืองหรือซิตี้คาร์ครบถ้วน เดินทางไกลก็ได้ สภาพรถยังใหม่ๆในราคาที่มีให้เลือกตั้งแต่ 2 แสน-4 แสน จะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนลองมาดูกัน

โซลูน่าตัวแรกเริ่มทำตลาดปี 1997 ใช้พื้นฐานของรุ่น Tercel ใน ญี่ปุ่น ด้วยราคารุ่นพื้นฐานเปิดตัวที่ 348,000 บาท นับเป็นราคาที่ถูกมาก ทำให้ขายดีมากทีเดียว รูปลักษณ์ภายนอกก็เรียบๆดูธรรมดา ยังมีสันเหลี่ยมเด่นชัดไฟหน้าทรงคางหมูและไฟเลี้ยวสีส้มตรงมุมบังโคลนรูปทรง ไม่หวือหวาอะไร กระจังหน้าทรงเรียบๆมีเส้นคาดสองเส้นแปะตราโตโยต้าเอาไว้ตรงกลาง กันชนดูไกลๆแล้วเหมือนของรุ่นสามห่วง ด้านท้ายตัดลงมาตรงๆแล้วไฟท้ายเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูเอียงรับกับฝากระโปรง ดูโล้นๆแปลกตามากกว่าสวย ล้อแม็กสำหรับรุ่น 1.5 XLI เป็นล้อเหล็กเพียวๆแบบรถกระบะขนของ ส่วนรุ่นอื่นๆเป็นฝาครอบล้อ14นิ้ว โครงสร้างตัวถังแบบ GOA ใช้เหล็กกันสนิมแบบ Galvanized Steel ที่ โตโยต้าอ้างว่ากันสนิมได้ถึง 5 ปีผุกร่อน 10 ปี ทำตลาดต่อมาอีก 2 ปี ได้มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ด้านหน้าที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือกันชนทรงใหม่ดูดีขึ้น ปรับไฟหน้าเป็นแบบมัลติรีเฟล็กไฟเลี้ยวขาว กระจังหน้าทรงคล้ายๆเดิมปรับให้ดูลาดเอียงยิ่งขึ้น เปลี่ยนลวดลายเป็นซี่นอนดูน่ามองมากกว่าเดิม ด้านท้ายที่เด่นๆคือไฟท้ายแยกออกมาแปะไว้ที่ฝากระโปรง ไฟท้ายแบ่งออกเป็น 2 ช่องรูปวงรีคล้ายหยดน้ำ เป็นที่มาสำหรับฉายาโซลูน่าโฉมไฟท้ายหยดน้ำ ทำตลาดเรื่อยๆจนถึงปี 2002 ก็มีรุ่นใหม่ออกมา

ภายในของทั้งสองรุ่นนี้เหมือนกัน คอนโซลหน้าคล้ายๆรุ่นสามห่วง มาตรวัดมีครบ พวงมาลัยพาวเวอร์ 4 ก้านมีถุงลมให้เฉพาะรุ่นท็อป กระจกแบบ Jam protection เฉพาะ ฝั่งคนขับมีในรุ่นท็อป ภายในไม่กว้างขวางนัก นั่งได้ 4 คนพอดีๆ เบาะเป็นเบาะผ้า ช่วงรับแผ่นหลังดูจะตื้นไปนิดจึงนั่งไม่กระชับนัก เดินทางไกลก็เมื่อยหน่อย ช่วงหย่อนขาตื้นไปและช่วงวางขาก็สั้นไปสำหรับคนสูง 180 อย่างผม

เครื่องยนต์ใช้บล็อกเดียวกับโคโรล่า 1.5 ต่างกันตรงท่อไอดี แครงก์น้ำมันเครื่องและรายละเอียดเล็กน้อย จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด EFI ให้ กำลัง 95 แรงม้า ส่งผ่านเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโต้ 5 สปีดลงสู่ล้อหน้า ความเร็วสูงสุดประมาณ 160 กม/ชม อัตราการกินน้ำมันในเมืองอยู่ที่ 8-12 กม/ล นอกเมืองอยู่ที่ 11-15 กม/ล ช่วงล่างร่อนที่ความเร็ว 120 เนื่องจากตัวรถเบา ถ้าคนนั่งไปเยอะๆน่าจะลดอาการร่อนไปได้บ้าง(แต่จะเพิ่มอาการโยนแทน)เบรกดีพอ สมควรมี ABS ให้ในรุ่นท้ายๆ

ด้าน อะไหล่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีให้เลือกเต็มไปหมดทุกมุม มีครบทุกชิ้น ราคาไม่แพง มิหนำซ้ำยังมีชุดแต่งเอาไว้เสียเงินเพิ่มอีกมากมายต่างหาก เอารถไปจิ้มหัวเข้าอู่ไหนก็ได้ ซ่อมง่าย ข้อเสียคือตัวถังไม่แข็งแรงนัก ชนเบาะๆก็ยุบแล้ว ถุงลมคนขับก็มีให้เฉพาะรุ่นท็อปส่วนคนนั่งก็ต้องลุ้นเอาเอง การประกอบไม่ดีนัก(ก็จะเอาอะไรกับรถราคาเท่านี้) ช่วงล่างนุ่มแต่ไม่เกาะถนน ขับเร็วๆไม่ไหว จับโช้คและสปริงแข็งๆน่าจะช่วยได้บ้าง เวลาซื้อต้องดูสภาพตัวถัง เพราะรถคันนี้ส่วนใหญ่เจ้าของเก่าเป็นพวกมือใหม่หัดขับ ส่วนใหญ่ที่เจอมักจะไม่ชนมากก็ชนน้อย อันนี้ต้องทำใจ พยายามเลี่ยงรถที่ทำสีใหม่ นานๆทีจะเห็นรถผู้หญิงใช้น้อยหลุดออกมาคันนึง ควรดูรอยช้ำของตัวถังแล้วคำนวณค่าซ่อมไว้ประมาณหมื่นถึง 2 หมื่น เครื่องยนต์ต้องดี เกียร์เข้าง่ายไม่ติดไม่สะดุด เวลาเลี้ยวไม่ควรมีเสียงดังเอียดอาด

สรุป เจ้าโซลูน่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีรถคันแรก รถแม่บ้าน รถครอบครัวเล็กๆเอาไว้ขับในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ประหยัดน้ำมัน ขับง่าย อะไหล่เยอะ ซ่อมถูก ปีใหม่ แต่ตัวถังไม่ทนทาน ช่วงล่างไม่เหมาะที่จะออกต่างจังหวัดบ่อยๆครับ

ข้อมูลทางเทคนิคของโตโยต้า โซลูน่า

เครื่องยนต์ 5A-FE 4 สูบ DOHC 16V

ปริมาตรกระบอกสูบ 1,498 ซีซี

แรงม้า 95แรงม้า/5600รอบต่อนาที

แรงบิด 126Nm/4800รอบต่อนาที

ระบบจ่ายน้ำมัน หัวฉีด EFI

ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ/ธรรมดา 5 สปีด

ระบบกันสะเทือน อิสระแมกเฟอสันสตรัท/ทอชั่นบีมและเหล็กกันโคลง

ระบบเบรก หน้า/หลัง ดิสก์/ดรัม

กว้าง-ยาว-สูง 1660-4175-1380

น้ำหนักรถ 935 กก.

ขนาดยาง 175/65R14

ความเร็วสูงสุด 160 กม/ชม

อัตราการกินน้ำมัน 9-15 โล/ลิตร

ISUZU ก็มีเก๋งนะจะบอกให้


อีซูซุ เวอร์เทคซ์ เป็นรถที่เกิดจากความร่วมมือของฮอนด้าที่ผลิตแต่รถเก๋ง กับอีซูซุที่ผลิตแต่รถกระบะ ทั้งสองค่ายจึงแลกเปลี่ยนรถมา rebadge เป็นรถของตัวเอง โดยฮอนด้าได้เอากระบะไปทำเป็น Honda Tourmaster แต่ ยอดขายน้อยมาก ส่วนอีซูซุได้เวอร์เทคซ์มาทำตลาด ด้วยราคาขายที่ไล่เลี่ยกับฮอนด้า ทำให้มียอดขายที่ไม่ดีนักแต่ก็ดีกว่ากระบะของฮอนด้า เวอร์เทคซ์เปิดตัวครั้งแรกปี 1996 โดยให้ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังอย่าง ริชาร์ด เกียร์ มาเป็นพรีเซนเตอร์ แบ่งออกเป็นสองรุ่นคือรุ่น SและJ โดยSE/JEเป็นเกียร์ออโต้และSL/JLเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา จากนั้นปี 1999 ก็ปรับโฉมนิดหน่อยตัดรุ่นSออก ไป ทำตลาดอย่างเงียบๆจนถึงต้นปี 2003 ก็เลิกผลิตไป รถเหล่านี้จึงตกรุ่นกลายเป็นรถมือสองที่ราคาตกเอามากๆ เพราะไม่ใช่รถตลาด รถเกรดเดียวกับฮอนด้าแต่ราคามือสองถูกกว่าเป็นแสนทั้งๆที่ราคามือหนึ่งใกล้ เคียงกัน น่าสนใจหรือไม่ มาลองดูกัน

รูป ลักษณ์ภายนอกคล้ายกับฝาแฝดซีวิคถ้ามองเผินๆ แต่เมื่อมองกันเต็มๆจะพบว่าบางจุดก็แตกต่างไป ด้านหน้า ไฟหน้าทรงสี่เหลื่ยมคางหมูไม่เหมือนตาโต รับกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงเหลี่ยมรูปชาม ติดยี่ห้ออีซูซุไว้กลางกระจังหน้า กันชนมุมเหลี่ยมด้านล่างกันชนมีช่องดักลมขนาดเล็กและยาวกว่าซีวิคอยู่ พร้อมช่องเล็กๆข้างๆเอาไว้ใส่ไฟตัดหมอก ดูโดยรวมการออกแบบเหมือนสูตรสำเร็จของรถยุโรป รูปทรงดูเหลี่ยมกว่าซีวิคแต่ผมชอบเป็นการส่วนตัว ด้านข้างบังโคลนของใหม่เพื่อให้รับกับมุมไฟหน้า ชิ้นส่วนประตูกระจกต่างๆตั้งแต่เสา A ถึงเสา C เป็น ของซีวิคหมด ด้านท้ายเหมือนกับซีวิคมากๆยกเว้นไฟเลี้ยวขาวที่สร้างความแตกต่างเวลามอง ผ่านๆได้ ตรงกลางฝากระโปรงท้ายติดตราของเวอร์เทคซ์โดยเฉพาะ ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 14 นิ้วทุกรุ่น

เข้า มาภายในแทบจะไม่แตกต่างจากซีวิคเลย สิ่งเดียวที่ยังบอกว่าเป็นอีซูซุอยู่ก็คงจะเป็นพวงมาลัยที่มีตราอีซูซุ มีถุงลมเฉพาะฝั่งคนขับ(ยกเว้นรุ่นSL) ภายในกว้างขวางดี เบาะเป็นผ้าแซมกำมะหยี่ ออพชั่นมีให้ไม่คับคั่งนักเอาแค่พอใช้ก็สะดวกสบายมือดี คอนโซลหน้ายกมาจากซีวิคเลย หน้าปัดเรียบๆแบ่งเป็นสามวง ซ้ายสุดเป็นวัดรอบ ตรงกลางเป็นความเร็ว ขวาเป็นวัดน้ำมันและความร้อน ส่วน pictograph กระจายอยู่ทั่วหน้าปัด

เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับซีวิคมีวีเทคในรุ่นSL/SE/JE 1590 ซีซี 4สูบ SOHC 16V 120แรงม้า/6400รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 146 Nm ที่ 5500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ออโต้ 4 สปีดในรุ่นSEหรือ ธรรมดา 5 สปีด ลงสู่สองล้อหน้า ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ดับเบิลวิชโบน โชคอัพแก๊สและเหล็กกันโคลง ดิสก์เบรก 4 ล้อพร้อมเอบีเอส(ยกเว้นรุ่นSL)

เท่า ที่เคยลองขับมาใช้งานในเมือง ไม่ค่อยรู้ฤทธิ์เดชของมันตอนความเร็วสูงๆ ในเมืองก็มีความคล่องตัวดี พวงมาลัยพาวเวอร์ฉับไวพออาศัยมุดในชั่วโมงเร่งด่วนได้ ต้องลากรอบเครื่องสูงๆหน่อยถึงจะได้แรงม้าเอามาใช้กัน คาดว่าสมรรถนะการขับนอกเมืองคงไม่ต่างจากอารมณ์ซีวิคมากนัก อัตราการกินน้ำมันอันนี้เจ้าของเล่ามา อยู่ที่ 7 กม./ล. ถ้าอัดสุดๆในเมือง และ 9-10 กม./ล.ถ้าขับเรื่อยๆ ช่วงล่างและเบรกดีทีเดียว ในรอบสูงๆเสียงเครื่องมีเข้ามาค่อนข้างมาก ความรู้สึกแทบไม่ต่างจากการขับซีวิคเลย

เรื่อง อะไหล่ เห็นเป็นรถยอดขายน้อยแบบนี้ อะไหล่มีแพร่หลายทีเดียวเพราะใช้ร่วมกับซีวิคได้ทั้งด้านนอกและด้านใน ยกเว้นด้านหน้ากับบังโคลนหน้าที่ใช้ร่วมกันไม่ได้ เจ้าชิ้นส่วนด้านหน้านี้จะสร้างลำบากแก่เจ้าของรถพอดู เพราะต้องเบิกจากห้างเอาซึ่งก็แพง ถ้าเดินหาตามวรจักรหรือเชียงกงแล้วคงจะเหนื่อยหน่อย ก่อนซื้อก็ควรดูสภาพตัวถังไม่น่าจะมีการทำสีมาสีเดิมของรถมี 4 สีคือ สีเงิน สีเขียว สีน้ำเงิน สีทอง เช็กช่วงล่างด้านหน้าให้สมบูรณ์ และเตรียมเงินเก็บงานหนักสัก 3 หมื่น

สรุปแล้ว Isuzu Vertex เป็น รถที่น่าสนใจคันหนึ่ง สมรรถนะ ห้องโดยสาร เหมือนขับฮอนด้าแต่ราคาถูกกว่า อะไหล่หาง่ายแต่ราคาไม่ถูกนักในบางชิ้น ราคาขายมือสองอยู่ที่ประมาณ 3 แสนในปี 96 ถึงประมาณ 4 แสนในปี 2002 โดยตัวรถที่ขายมีน้อย (แต่เห็นเต็นท์นึงจอดอยู่หลายคันเชียว) สภาพยังใหม่ๆอยู่ คู่แข่งก็มีเช่น นิสสัน ซันนี่, มาสด้า 323 ที่มีราคาและปีใกล้เคียงที่สุด ลองเก็บเวอร์เทคซ์กับไปพิจารณาอีกตัวเลือกนึง อย่ามองข้ามมันไปเชียวนะครับ