Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

BENZ C-Class C200CGI และ C250CDI


มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เทคโนโลยี CGI และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทคโนโลยี CDI โดย 2 เครื่องยนต์ใหม่ผลิตภายใต้แนวคิด BlueEFFICIENCY ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมทัพในตระกูล C-Class ส่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดรถหรูพร้อมกันถึง 2 รุ่น คือ C 200 CGI BlueEFFICIENCY และ C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE ชูเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม BlueEFFICIENCY ของยนตรกรรม C-Class นอกจากนี้เครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น ผลิตมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในตลาดประเทศไทยรวมถึงชนิดของน้ำมันด้วย ลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ใน อนาคต C 200 CGI BlueEFFICIENCY มี สไตล์การตกแต่งให้เลือก 3 แบบ คือ C 200 CGI BlueEFFICIENCY, C 200 CGI BlueEFFICIENCY ELEGANCE และ C 200 CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARD โดยทั้ง 3 แบบมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินใหม่ ที่ให้พละกำลังและความเร้าใจในการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์ CGI แถวเรียง 4 สูบ ขนาดความจุ 1,796 ซีซี ให้พละกำลังเครื่องยนต์ 135กิโลวัตต์ 184 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที แรงบิด 270 นิวตันเมตร ที่ความเร็ว 1,800 – 4,600 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100กิโลเมตรภายในเวลา 8.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 232 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเครื่องยนต์ CGI นี้จะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง 10 เปอร์เซ็นต์ มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยเพียง 13 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซค์จากท่อไอเสียที่ 168-184 กรัม/กิโลเมตร และสามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน E10 และ E 20

C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE มา พร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ คอมมอนเรลเจเนเรชั่นที่ 4 ควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงแรงดันสูงได้อย่างแม่นยำด้วยหัวฉีด piezo injector พร้อมแรงดันในรางน้ำมันที่สูงถึง 2,000บาร์และแรงอัดอากาศจากเทอร์โบ 2 ชุด ที่ให้ประสิทธิภาพทั้งแรงม้าแรงบิดแรงขึ้นกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่รุ่นนี้จะทำงานราบเรียบ นุ่มนวลและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ C 250 CDI BlueEFFICIENCY มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบชาร์จความจุ 2,143 ซีซีให้พละกำลังเครื่องยนต์ 150 กิโลวัตต์ที่ 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ความเร็ว 1,600 - 1,800 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชม.ภายใน 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยเพียง 17 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซค์จากท่อไอเสียที่ 153-167 กรัม/กิโลเมตร“เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนายนตรกรรมในรุ่น C-Class มาโดยตลอด เพื่อตอบรับนโยบายของบริษัทในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้สูงยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี Blue EFFICIENCY ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้บรรจุไว้ทั้งในแบบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล”
ด้านความปลอดภัย C-Class โดดเด่นด้วยระบบPRE-SAFE® ระบบความปลอดภัยเพื่อการปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นนวัตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่กวาดรางวัล มาแล้วมากมาย ระบบนี้จะสั่งใช้มาตรการปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทำงานร่วมกันกับระบบช่วยเบรกBrake Assistและโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP®) ที่จะประเมินได้ว่าอาจเกิดอุบัติเหตุ ก็จะสั่งให้ระบบ PRE-SAFE® ทำ งานด้วยการปรับเข็มขัดนิรภัยพร้อมปรับเบาะนั่ง ให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมที่จะปะทะกับอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัย 10 ตำแหน่ง ซึ่งติดตั้งอยู่ในจุดสำคัญต่างๆ เช่นบริเวณด้านหน้า 2 ตำแหน่งด้านข้าง 4 ตำแหน่งและ ม่านถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่งเสริมความมั่นใจด้วยเข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับ

นอกจากนี้ C-Class ได้ติดตั้งระบบกันสะเทือนและระบบพวงมาลัยแบบ AGILITY CONTROL นวัตกรรมล่าสุดที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปแบบคล่องแคล่วปราดเปรียว พร้อมทั้งสามารถบังคับการควบคุมได้แม่นยำและเที่ยงตรงมากขึ้นด้วย แต่คงความนุ่มนวลและมีการทรงตัวอย่างดีเยี่ยมด้วยโช้คอัพที่สามารถปรับการทำ งานแบบอัตโนมัติ ให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ของการขับขี่และสภาพของถนนที่เปลี่ยนไป และจะทำงาน ให้สัมพันธ์กันกับทุกสไตล์ของการขับขี่ จึงได้สัมผัสอารมณ์สนุกการขับขี่มากขึ้นด้วย

ด้วยคุณสมบัติเรื่องสมรรถนะและประสิทธิภาพของการขับขี่ทำให้ C-Class ได้รับรางวัลมากมายในหลากหลายสาขาจากทั่วโลก เช่น C-Class เป็นรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นรุ่นแรกในเซ็กเม้นท์เดียวกัน ที่ได้รับประกาศนียบัตรถรักษาสิ่งแวดล้อมดีเด่น (ISO-Norm14062) จาก German Technical Inspection Authority ประเทศเยอรมนี รางวัลจากหน่วยงาน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้เป็นรถที่มีความปลอดภัยสูงสุดในเซ็กเม้นท์เดียวกัน ที่สำคัญยังได้รับการจัดลำดับให้เป็นรถที่มีความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวจากการทดสอบการชนของ Euro NCAP อีกด้วย


MITSUBISHI เปิดตัว 2 รุ่นพิเศษ เพียง 200 คัน

ผู้ใช้รถหลายคนตัดสินใจซื้อรถใหม่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนๆ กันคือการคิดที่จะนำรถใหม่ไปตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้ตรงความต้องการมากขึ้น จากจุดนี้เองที่ทำให้ผู้ใช้รถต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น นอกจากนี้การติดตั้งหรือตกแต่งเพิ่มเติมกับร้านที่ไม่ได้มาตรฐาน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถคันโปรด โดยคาดไม่ถึง เพราะการแต่งรถบางครั้งมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเจาะตัวถัง หรือรื้อพรมเพื่อวางระบบ หากร้านที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะเกิดการเสียหายกับรถที่ท่านรักได้ ค่าย MITSUBISHI เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าในจุดนี้ เป็นอย่างดี จึงได้เกิดแนวคิดผลิตรถรุ่นนี้ขึ้นเพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ ด้วยการตกแต่งที่ผ่านมาตรฐานจากโรงงานที่ผลิต และที่สำคัญมีการจำกัดจำนวนเพียง 200 คันเท่านั้นเพื่อเป็นการรับประกันว่า คอลเลคชั่น ชุดนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะคุ้มค่า คุ้มราคา ซื้อแล้วใช้ได้เลยมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รุ่นตกแต่งพิเศษ 2 รุ่นที่ว่านี้คือ รุ่น “2.0 GT แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์” พกความสปอร์ตรอบคัน ราคา 1.085 ล้านบาท และรุ่น “1.8 จีแอลเอส ลิมิเต็ด”แต้มหรูด้วยโครเมี่ยมภายนอกภายใน ราคาเริ่มต้น 9.45 แสนบาท“ด้วยความโดดเด่นของรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ที่มาพร้อมภาพลักษณ์และอารมณ์สไตล์สปอร์ต ทางมิตซูบิชิจึงได้เสนออีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยการนำมา ตกแต่งเพิ่มเติม โดยในรุ่น จีที (เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร)


ตกแต่งด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งแท้จากแรลลี่อาร์ตในรุ่นพิเศษ “แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์”ในขณะที่รุ่น จีแอลเอส ลิมิเต็ด (เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร) จะมาพร้อมชุดแต่งจากมิตซูบิชิ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อสร้างความแตกต่างและให้ความสะดวกสบายในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “สมาร์ท คอนเซ็ปต์”มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ได้รับการแนะนำสู่ตลาดเมืองไทยใน เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งมาพร้อมแนวคิด “Sensational Intelligence” ด้วยรูปทรงที่ทันสมัยเร้าใจ ความอัจฉริยภาพในการขับขี่ที่เหนือกว่า นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในเรื่องของระบบความปลอดภัย พร้อมสมรรถนะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเครื่องยนต์ ให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ เครื่องยนต์ MIVEC II FFV (Flexible Fuel Vehicle) ขนาด 1.8 ลิตร รองรับการใช้น้ำมันได้หลากหลายตั้งแต่เบนซินธรรมดาไปจนถึง น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 และเครื่องยนต์ MIVEC II ขนาด 2.0 ลิตร รองรับถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20

สำหรับ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รุ่นตกแต่งพิเศษ “แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์ ” เป็นการนำรุ่นจีที (GT) มาตกแต่งเพิ่มเติม เน้นความโดดเด่นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งแนวสปอร์ตรอบคัน โดยนอกจากจะมาพร้อมกรอบกระจังหน้าแบบสีดำที่รับกับล้ออัลลอยล์ ใหม่ขนาด 18 นิ้ว แบบ Dark Gray รวมไปถึงชุดชายกันชนหลัง แล้ว ยังเพิ่มความดุดันและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแท้ จากแรลลี่อาร์ต ไม่ว่าจะเป็น แผ่นฟอยล์แรลลี่อาร์ตตกแต่งทั้งกันชน หน้า-หลัง สปอยเลอร์หลัง และชายด้านข้างรวมทั้งเสริมมาดเข้มด้วยวงแหวนครอบไฟตัดหมอก และแผงครอบใต้กันชนหลัง ในขณะที่ภายในได้รับการตกแต่งให้โฉบเฉี่ยวให้ ความรู้สึกพิเศษจากชุดแต่งดีไซน์สปอร์ตด้วยชุดวงแหวนครอบสวิตซ์ ควบคุมอุณหภูมิแบบโครเมียม พร้อมหัวเกียร์และหุ้มเบรคมืออะลูมิเนียม นอกจากนี้ยังเพิ่มความลงตัวด้วยชุดแผงครอบสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิ และชุดแผงครอบแป้นเกียร์สีเงิน รวมไปถึงฝาครอบบันไดสเตนเลสจากแรลลี่อาร์ต


ในขณะที่รุ่น “สมาร์ท คอนเซ็ปต์” จะเป็นการนำรุ่น จีแอลเอส ลิมิเต็ด (GLS Ltd.) มาตกแต่งให้เท่ยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่งแบบโครเมียม ทั้งแผงครอบช่องดักลมกันชนหน้า คิ้วตกแต่งชายฝากระโปรงท้าย และชุดฝาครอบมือจับประตู ลงตัวยิ่งขึ้นด้วยการติดตั้งลิปสปอยเลอร์หลัง สำหรับการตกแต่งภายในเน้นความลงตัวและหรูหราทำให้รถดูกว้างสบาย และสะดุดตายิ่งขึ้นด้วยโทนสีเงิน “Cool Silver” ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคอนโซลหน้าและแผงข้างประตู ชุดแผงครอบแป้นเกียร์ รวมไปถึงชุดแผงครอบสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งรับกับชุดวงแหวนครอบสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิแบบโครเมียม


มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รุ่นตกแต่งพิเศษ ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 คัน โดยในรุ่น “สมาร์ท คอนเซปต์” มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีบรอนซ์เงิน สีดำ ราคา 945,000 บาท และ สีขาวมุก “ไวท์เพิร์ล” ราคา955,000 บาท และ รุ่น “แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์” มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีแดง สีบรอนซ์เงิน และสีเทาดำ พร้อมราคาขาย1,085,000 บาท อีกทั้งยังมั่นใจด้วยการรับประกันชุด อุปกรณ์ตกแต่งนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
ยังไม่ต้องเชื่อนะครับ ต้องลองไปพิสูจน์ดูด้วยสายตาก่อนว่าแนวคิด“แรลลี่อาร์ต”จะลงตัวได้อย่างไรกับการนำเทคโนโลยีรถแรลลี่ ที่ค่ายนี้ก็ไม่เป็นรองใคร มาแต่งให้สวยหรูดูสำอางค์ ในสไตล์สปอตครับ อ้อ..ที่ลืมบอกไปคือทั้งสองรุ่นนี้มีการติดตั้งระบบนำทางหรือ GPS ที่ผู้ใช้รถหลายๆท่านกำลังมองหามาใช้งาน มาให้เรียบร้อยโรงงานครับ



วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Ford ranger

ฟอร์ดได้ฤกษ์เปิดตัวกระบะเรนเจอร์ใหม่ที่วางเครื่องยนต์ใหม่ดูราทอร์ก 380 คอมมอนเรลชูแรงบิดสูงกว่าทุกค่าย พร้อมคงไว้ด้วยความอเนกประสงค์ และระบบนิรภัยมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้าง บวกกับรูปลักษณ์สไตล์มะกัน โฉมใหม่ดุดันกว่าเก่า
โฉมใหม่ทั้งภายนอก - ภายใน
รูปลักษณ์โฉมใหม่ แข็งแกร่ง และทรงพลัง ตามสไตล์รถกระบะอเมริกัน ด้วยกระจังหน้าลาย 3 แถบเป็นเอกลักษณ์ รับกับไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบรีเฟล็กเตอร์ ที่ให้ความสว่างมากขึ้น รวมถึงฝากระโปรงหน้าที่เป็นสันนูนบึกบึน ซุ้มล้อที่โป่งออกให้การปกป้องตัวถังได้ดีขึ้น ทั้งยังตกแต่งกระจกมองข้างด้วยโครเมียมบนพื้นดำ พร้อมล้ออัลลอย 16 นิ้ว ประกบยางออลเทอเรน ที่เสริมให้ดูดุดันยิ่งขึ้น Ford เรนเจอร์ ใหม่ ตกแต่งภายในห้องโดยสารได้อย่างประณีต ด้วยโทนในสีครีม และวัสดุคุณภาพสูง หรือโทนสีเทาเข้มก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค สำหรับขอบแผงหน้าปัดเป็นโครเมียม และทันสมัยด้วยมาตรวัดทรงกลมแบบ 3 ช่อง รับกับช่องแอร์ทรงกลม พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบถ้วนในทุกรุ่น อาทิ เครื่องเล่นวิทยุ-ซีดี MP3

เบาะนั่งออกแบบมาให้รับการสรีระของผู้ นั่งมากที่สุด โดยด้านข้างของพนักพิงนูนขึ้นกระชับลำตัวและรับแผ่นหลังได้ดี ตัวเบาะที่ยาวขึ้นกระชับตัวผู้นั่งกว่าเดิมรวมทั้งกระจายน้ำหนักตัวได้ดี ขึ้น พนักพิงศีรษะใหญ่ ส่วนเบาะนั่งด้านหลังปรับปรุงใหม่ให้มีความโค้งเว้า รองรับแผ่นหลังได้ดีขึ้นใกล้เคียงกับรถเก๋ง พร้อมมีที่เท้าแขนให้ด้วย

ด้านประโยชน์ใช้สอยก็มีให้พอ ตัว อาทิ มีที่วางแก้ว 5 จุด ที่วางขวดน้ำขนาด 1 ลิตรที่ประตูหน้า คอนโซลกลางแบ่งเป็นสองส่วน ด้านบนสำหรับเก็บของกระจุกกระจิก และด้านล่างสามารถเก็บซีดีได้ถึง 9 แผ่น หรือของที่มีขนาดใหญ่ ด้านช่องเก็บของด้านหน้ามีความจุถึง 8.1 ลิตร นอกจากนี้ยังปรับปรุงช่องเก็บของด้านหน้า ให้ดึงออกมาเป็นโต๊ะขนาดเล็กสำหรับวางกล่องอาหาร หรือจัดเก็บเอกสารได้สะดวกมากขึ้น ขณะเดียวกัน ?เรนเจอร์ ใหม่? ยังถูกออกแบบให้สามารถบรรทุกของได้มากขึ้น และลากจูงน้ำหนักสูงสุดได้ถึง 3 ตัน

ระบบความปลอดภัยครบครัน
ฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ เป็นรถกระบะรุ่นเดียวในตลาดที่ติดตั้งระบบกระจายแรงเบรก EBD สามารถกระจายแรงเบรกไปทั่วทุกล้อ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS สำหรับเบรกหน้าแบบ 4x4 พร้อมทั้ง piston caliber ช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดระยะเบรก ทั้งยังลดการสึกหรอของผ้าเบรก

ใส่ จี-เซ็นเซอร์ (G-sensor) เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยมาตรฐานในทุกรุ่น ซึ่งจะทำงานโดยคำนวณอัตราเร่ง ความเร็ว และน้ำหนักบรรทุก ก่อนจะปรับการทำงานของเครื่องยนต์ให้เหมาะสม มีแชสซีส์ ใหม่ พร้อมเหล็กกันโคลงด้านหลัง ยึดเกาะถนน ควบคุมได้ง่าย และลดการโคลง โช้กอัพที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ขึ้น และโช้กอัพแก๊สขนาด 32 ม.ม. เพิ่มความมั่นคงของรถ ระบบ บังคับเลี้ยวแบบ Ballnut ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ทนทาน ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานหนักในรถกระบะโดยเฉพาะ ช่วยให้เลี้ยวและเข้าโค้งได้อย่างแม่นยำ ตอบสนองได้ดี พวงมาลัยเพาเวอร์ ที่จะช่วยผ่อนแรงในการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ ทั้งยังให้ความมั่นคงเมื่อใช้ความเร็วสูง

โครงสร้างตัวถังออกแบบมาเป็นอย่างดี ให้สามารถกระจายแรงกระแทกออกไปทั่วคัน คานกันกระแทกด้านข้าง และขอบล่างของตัวถังด้านข้างที่ออกแบบให้ยกขึ้นเล็กน้อย ช่วยเสริมการปกป้องผู้โดยสารภายใน โครงสร้างเสา B Pillar ที่ถูกซ่อนไว้เพิ่มความปลอดภัยพร้อมกับช่วยให้บานแค็บเปิดออกได้ เพื่อความสะดวกในการขนของขึ้นลง เมื่อปิด บานประตูและบานแค็บจะเข้าล็อคกันสนิทแน่นทำหน้าที่แทนเสา B Pillar ได้อย่างแนบเนียนพร้อมทั้งเน้นรูปลักษณ์ความแข็งแรงของตัวรถอีกด้วย

นอกจากนี้ยังติดตั้งถุงลมนิรภัยด้าน ข้างเป็นครั้งแรกในตลาด เพิ่มการปกป้องผู้โดยสารจาก แรงกระแทกด้านข้าง เพิ่มเติมจากถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบ Advanced Stage II Airbag system

ขุม พลังใหม่แรงบิดสูงสุดในตลาด

เครื่องยนต์ทรง พลัง ดูราทอร์ก 380 คอมมอนเรล ผสานสุดยอด 2 ขั้วเข้าด้วยกัน คือ แรงบิดสูงสุดในตลาด และประหยัดน้ำมันมากขึ้น เข้ากับเทคโนโลยีเทอร์โบแปรผันอัจฉริยะ ระบบเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ และ Electronic Control Unit (ECU) ที่ติดตั้งโปรเซสเซอร์แบบ 32 บิต สามารถกำหนดและควบคุมการฉีดจ่ายน้ำมันในปริมาณที่เหมาะสมกับการทำงานของ เครื่องยนต์ทุกสถานการณ์

ขณะเดียวกันก็มีการเผาไหม้อย่าง สมบูรณ์ ส่งผลให้มีปริมาณไอเสียต่ำ ทั้งยังลดเสียงและการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย เครื่องยนต์ดู ราทอร์ก TDCi 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้าที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตรที่ 1,800 รอบ ต่อนาที และประหยัดน้ำมันมากกว่ารุ่นเรนเจอร์ 2.5 ลิตร WLT เทอร์โบรุ่นปัจจุบันถึง 22%

ส่วนเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดถึง 156 แรงม้าที่ 3,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตรที่ 1,800 รอบต่อนาที ซึ่งมากที่สุดในตลาดรถกระบะบ้านเรา นอกจากนี้ยังซดเชื้อเพลิงน้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 15%