วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552
รู้ทันประกันภัย
วันนี้คุยกันถึงเรื่องประกันภัยกันหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่คนมีรถทุกคนต้องรู้ ย้ำว่าต้องรู้เพราะกฏหมายบังคับให้รถที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมายทุกคัน ต้องมีประกันประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะประกันภัยภาคบังคับถ้าไม่มีก็ไม่สามารถที่จะต่อภาษีประจำปีได้ เมื่อไม่ได้ต่อภาษีแล้วเอารถออกไปขับบนท้องถนนเมือไหร่ละก็..เสร็จจ่าละ อย่างน้อยก็สองกระทงเบาะๆ 500 บาท ขับไปก็ต้องระวังตัวแจเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาละก็ บอกได้คำเดียวว่าไม่คุ้มครับพี่น้อง จะว่าไปในความคิดของผมเรื่องประกัน ทั้งประกันภัยและประกันชีวิตเป็นเรื่องที่น่าเวียนหัวครับ เพราะภาษากฏหมายที่ถูกบันทึกลงในกรรมธรรม์สัญญาเป็นสิ่งที่อ่านแล้วเข้าใจยากต้องแปลไทยเป็นไทยหลายตลบแถมตัวหนังสือก็เล็ก ยิ่งถ้าใครที่ไม่ชอบการอ่านหนังสือก็จะถามคำเดียวว่าให้เซ็นตรงไหน ธรรมชาติของคนไทยส่วนใหญ่ชอบอะไรที่ง่ายๆสบายๆ เลยเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ตัวแทนขายประกันที่เห็นแก่ได้เอาเปรียบผู้บริโภค ใช้เป็นช่องทางพริ้วเพื่อที่จะไม่จ่ายเงิน ในกรณีที่เกิดเหตุที่ตามเงื่อนไขสัญญา กลายเป็นปัญหาให้ทางการต้องตามล้างตามเช็ด ก็เป็นธรรมดาของผู้ประกอบการละครับที่ลงทุนแล้วจะมุ่งแสวงหากำไรให้มากที่สุด จ่ายยากไว้ก่อนเป็นดี แต่ก็นั่นละครับเมื่อกฏหมายบังคับไว้ก็ต้องทำเพราะจะเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ใช้รถ ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจกันทีหลัง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันเข้ามาดูแลแทน ส่วนตัวท่านก็จะได้เอาเวลาไปหาอู่ซ่อมรถดีกว่า
คำถามง่ายๆ ทำไมต้องประกันภัยรถ ? บางครั้งปัญหาจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย อาจทำให้คุณต้องเสียเงินค่าซ่อมแซมจำนวนมาก และถ้าหากคุณเป็นฝ่ายผิดละก็บอกได้คำเดียวว่าเละ เพราะคู่กรณีคุณได้ที่ขี่แพะไล่แน่นอน แต่ถ้ามีประกันภาระหน้าที่ในการเจรจาต่อรองและประสานงานก็จะเป็นของตัวแทนประกันทั้งหมด (เพราะรับเงินเราไปแล้วนี่) และหากรถคุณเสียหายก็สามารถซ่อมทำให้คืนสภาพได้ ตามวงเงินเอาประกัน โดยไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย (ประกันจ่าย) สบายใจว่าเมื่อใดที่คุณโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุโดยที่เป็นฝ่ายผิด หรือมีบุคคลได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ คุณมีผู้รับผิดชอบแทนเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนซื้อประกันคุณควรตรวจสอบ บริษัทประกันภัยที่จะซื้อให้ดีก่อนว่าจะมีคุณภาพ มาตรฐานมากน้อยแค่ไหน รับเงินไปแล้วจะให้บริการอย่างที่คุยไว้หรือเปล่า เคยมีใครโดนพลิ้วมาบ้างหรือไม่ ต้องหาข้อมูลให้ดี แต่ปัจจุบันกฏหมายได้เข้มงวดกับบริษัทและตัวแทนขายประกันไว้ชั้นหนึ่งแล้ว หากมีกรณีที่ว่า อย่ารีรอตัดสินใจนานรีบรวบรวมหลักฐานร้องเรียนพานิชย์จังหวัดโดยด่วน
ใครเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองจากประกันภัย
อันดับแรกคือตัวคุณหากเป็นประกันชั้น 1 ตัวแทนประกันจะจัดการให้เสร็จสรรพ โดยที่ท่านไม่ต้องกังวลใจใดๆ นอกจากชนคนตาย
อันดับต่อมาคือคู่กรณีของท่านที่เป็นฝ่ายถูกและแน่นอนท่านคือฝ่ายผิด หมดสิทธิ์ต่อรองต้องเรียกประกันมาช่วยเคลียร์ด่วนจี๋ (ให้นึกถึงประกันก่อนตำรวจนะครับช่วยได้เยอะ)
ถัดมามาคือรถของคุณที่เสียหายจากอุบัติเหตุประกันจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่าย ตามเงื่อนไขข้อตกลง และรถของคู่กรณีซึ่งเป็นฝ่ายถูกและได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ สุดท้ายบุคคลที่สามที่นอกเหนือจากคู่กรณี เช่นคนเดินบนทางเท้าที่ได้รับผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้น (ตามประเภทของประกัน)
ทุกวันนี้มีบริษัทประกันภัยรถยนต์ให้คุณเลือกรับบริการมากมายดังนั้นคุณควรศึกษาบริษัทที่คุณสนใจก่อนตัดสินใจด้วยว่า บริษัทนั้นมีประวัติการให้บริการลูกค้าดีไหม? ใช้เวลาไปถึงที่เกิดเหตุนานเกินไปหรือเปล่า? รับผิดชอบต่อเงื่อนไขสัญญาการประกันภัยหรือมีการหลบเลี่ยง(พริ้ว)มากน้อยแค่ไหน? วางใจได้หรือไม่? พนักงานให้บริการด้วยความสุภาพหรือไม่? ข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถหาได้จากเพื่อนฝูงหรือผู้ที่เคยใช้บริการหรือจากข่าวสารทั่วไปเทียบเคียงกันหลายๆบริษัท อย่าเห็นแก่ตัวเลขที่จำนวนสูงๆ ขอให้ตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่าไม่มีใครยินดีจะจ่ายเงินจำนวนมากๆ โดยไม่มีผลประโยชน์กลับคืนที่คุ้มค่า แม้แต่คุณเองใช่มั๊ย โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยที่ดีจะให้บริการปรึกษาปัญหาด้านกฎหมาย ในกรณีที่คุณมีปัญหาจากอุบัติเหตุหรือสูญหาย ดังนั้นการเลือกบริษัทประกันภัยที่ดีมีความรับผิดชอบสูง จะส่งผลต่อเนื่องให้คุณได้ใช้รถอย่างสบายใจ ไม่ต้องรอลุ้นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ก่อนที่จะตกลงใจซื้อประกันให้กับรถของท่าน ขอให้ตั้งคำถามเหล่านี้ในใจแล้วหาคำตอบจากตัวแทน ค่าบริการแพงเกินจริงหรือไม่ สมน้ำสมเนื้อกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถหรือไม่ ค่ารักษาพยาบาลที่คุณจะได้รับ และเงินชดใช้ เมื่อรถสูญหายอย่างคุ้มค่า ก่อนตกลงซื้อประกันรถ ขั้นแรกคุณต้องมั่นใจว่าบริษัทนั้นมีความมั่นคงพอ โดยถามพนักงานขายประกันเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบริษัท เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทประกันภัยมากมายถูกปิดกิจการลง เนื่องมาจากความผดพลาดทางการเงิน และการล้มละลาย ระวังจะเสียเงินฟรี ! ข้อต่อมาที่คุณควรศึกษาคือ เบี้ยประกัน เบี้ยประกันที่แตกต่างย่อมมีผลถึงระดับความคุ้มครองที่คุณจะได้รับ ควรเลือกประกันที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและรูปแบบประกันที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและรูปแบบที่คุณควรได้รับการคุ้มครอง
พื้นฐานการประกันภัยมักแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน
แบบประกันภัยภาคบังคับ จะให้การคุ้มครองผู้บาดเจ็บจากรถ
แบบประเภท 1 คุ้มครองรถของผู้ประกันและรถของคู่กรณีเบี้ยประกันต่อปีจะสูงกว่าประเภทอื่นๆ
แบบประเภท 2 คุ้มครองรถของผู้ประกัน
แบบประเภท 3 คุ้มครองเฉพาะรถของคู่กรณี
ถ้าท่านไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจในประเด็นใด ก่อนตัดสินใจซื้อก็ขอให้ให้พนักงานขายประกัน อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของแบบประกันภัย และผลคุ้มครองที่คุณจะได้รับ เบี้ยประกันที่คุณต้องจ่าย และหากมีรายละเอียดข้อไหนที่คุณไม่เข้าใจ ต้องถามให้กระจ่างก่อนตัดสินใจซื้อ เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทประกันภัยต่าง ๆ มีการเพิ่มค่าประกันจนลูกค้ารู้สึกเหมือนโดยโกงราคา ที่เลวร้ายที่สุดคือบริษัทประกันภัยส่วนใหญ่มักหาวิธีเลี่ยงการคุ้มครองด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ที่สามารถพลิกแพลงได้ภายหลัง จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากที่คุณต้องระวังและทำความเข้าใจในเงื่อนไขเหล่านั้นอย่างละเอียด คำแนะนำในการลดค่าธรรมเนียมของคุณ เมื่อมั่นใจว่าคุณได้เปรียบเทียบบริษัทประกันภัย แต่ละแห่งแล้ว ควรถามพนักงานขายประกันถึงส่วนลดพิเศษที่คุณสามารถได้รับในกรณีต่าง ๆ เช่น การใช้รถในราคาไม่แพงมาก สามารถลดเบี้ยประกันภัยได้ บางบริษัทมีส่วนลดให้สำหรับ รถที่ไม่ค่อยขับ , คนขับที่ไม่สูบบุหรี่ ,คนขับที่ไม่ดื่มเหล้า สำหรับครอบครัวที่มีรถมากกว่าหนึ่งคัน หลายบริษัทมีนโยบายลดค่าเบี้ยประกันให้ถึง 15-20 เปอร์เซ็นต์ บางบริษัทมักจะลดราคาสำหรับ รถขนาดเล็ก รถที่มีเครื่องยนต์มีลูกสูบต่ำลงมา รถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัย รถที่ติดระบบกันขโมย
รถที่มีระบบเบรกแอนตี้ล็อก ผู้ขับรถซึ่งมีประกาศนียบัตรเกี่ยวกับการขับรถปลอดภัย นักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยสูงตามกำหนด สตรีโสดที่มีอายุอยู่ระหว่าง 30-49 ปี ผู้ขับรถที่มีประวัติดี (ไม่เคยมีคดีเกี่ยวกับการชนมากกว่า 3 ปี) และคนในบริษัท
บริษัทประกันภัยโดยทั่วไป มักคิดค่าบริการไม่ต่างกันกับบริษัทคู่แข่ง ดังนั้นก่อนตกลงซื้อประกัน ควรถามพนักงานขายถึงราคาเบี้ยประกันว่า ตามนโยบายของบริษัทแล้วเบี้ยประกันจะสูงขึ้นไหม หากรถคุณประสบอุบัติเหตุภายหลัง เพื่อพิจารณาก่อนตัดสินใจ
การเรียกค่าคุ้มครองเมื่อรถเกิดุบัติเหตุหรือสูญหาย การแก้ปัญหาหลังเกิดอุบัติเหตุมักทำให้เราต้องยุ่งยาก สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้คือ ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้
1.แจ้งความกับตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น ถูกชนและมีคนบาดเจ็บ หรือชนกับมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีประกัน
2.แจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบโดยเร็วที่สุด ทางบริษัทจะช่วยแก้สถานการณ์ และจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับคุณให้ทันที
3.ถ้าตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แจ้งรายละเอียดทั้งหมดเพื่อลงในบันทึกประจำวัน
4.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและตอบข้อซักถามของเจ้าหน้าที่ประกัน
5.ให้รายละเอียดและเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ประกัน
6.ถ้าคุณรู้สึกว่าการสอบสวนหรือการจัดการที่ได้รับไม่ยุติธรรมควรขอคำแนะนำจากทนายความก่อนนัดตกลงอีกครั้ง
ตามข้อเท็จจริงแล้ว การทำประกันภัยหรือประกันชีวิตเป็นเรื่องที่ดี มีความจำเป็นในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ช่วยให้เรามีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เคยคุยกับคนสิงคโปร์เขาบอกว่าคนที่สิงคโปร์เขาถือว่าการทำประกัน
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่ทำถือว่าผิดปกติ ดังนั้นตัวแทนหรือบริษัทประกันเพียงแค่ให้ข้อมูลข่าวสารการดำเนินการของบริษัทตนเองก็พอ ไม่ต้องเดินตื้อลูกค้าเหมือนบ้านเรา และที่สำคัญเขาทำตามเงื่อนไขสัญญาทันทีไม่มีอิดออดเตะถ่วง เพราะเขาถือว่าจ่ายก่อนหากว่าลูกค้าไม่ซื่อสัตย์คิดเอาเปรียบเขาสามารถพิสูจน์กับศาลได้เมื่อไหร่ ลูกค้าคนนั้นโดนเรียกเงินคืนแถมค่าเสียหายต่างๆอีกอักโข อยากเห็นบ้านเราเป็นแบบนั้นบ้างแต่ก็
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้น หากเรายังขาดวินัยแลความซื่อสัตย์
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น