Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Toyota prius Fully Hybrid

“โตโยต้าในไทยมีนโยบายมุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นรถพลังงานทางเลือก และรถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากการเปิดตัวรถรุ่นคัมรี่ ทำให้โตโยต้าศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนารถยนต์ไฮบริดรุ่นอื่นๆ แนะนำสู่ตลาดไทย”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “เคียวอิจิ ทานาดะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการแถลงข่าวถึงทิศทางและนโยบายของโตโยต้าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และยังบอกว่า… “ลูกค้าคนไทยไม่เพียงต้องการรถที่ประหยัด แต่ต้องการรถที่ขับสนุก มีอัตราเร่งที่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลให้โตโยต้าตัดสินใจเลือกรถไฮบริดทำตลาดก่อนอีโคคาร์ ที่เป็นรถเหมาะกับใช้งานในเมืองเท่านั้น”

และดูเหมือนว่ารถยนต์ไฮบริดดังกล่าว ได้เวลาจะถูกส่งมาเขย่าตลาดรถยนต์เมืองไทยแล้ว เมื่อมีรายงานข่าวว่าโตโยต้ากำหนดแผนแนะนำ “โตโยต้า พรีอุส” สู่ตลาดไทยช่วงปลายปี และจะเป็นรถตัวธงในการทำตลาดปี 2554 ที่สำคัญพรีอุสจะเป็นอีกโมเดลที่ขึ้นไลน์ผลิตในโรงงานประกอบรถยนต์นั่งของโตโยต้า ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตุเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา

โตโยต้า พรีอุส รุ่นแรกถูกเปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี 2539 ถือเป็นรถยนต์ไฮบริดแบบ Mass production รุ่นแรกของโลก และนับว่าประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายเป็นอย่างมาก ปัจจุบันนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกเมื่อต้นปี 2552 และมีกำหนดทำตลาดเต็มรูปแบบทั่วโลกในปี 2553 ซึ่งหากเป็นไปตามกระแสข่าวไทยก็จะแนะนำในปีนี้ และทำตลาดเต็มที่ในปี 2554

พรีอุสเป็นรถยนต์แบบไฮบิดเต็มรูปแบบ ที่เรียกกันว่า Fully Hybrid โดยในบางจังหวะสามารถขับเคลื่อนโดยอาศัยพลังจากเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว หรือว่าจะให้ทั้ง 2 อย่างทำงานร่วมกันก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวลผลและการตัดสินใจของกล่องสมองกลที่ควบคุมการทำงาน แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้มีความเหนือชั้นกว่า เพราะโตโยต้าได้ติดตั้งปุ่ม EV Drive Mode มาให้ สำหรับให้ลูกค้าเลือกขับเคลื่อน โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังมีโหมดอื่นให้เลือกใช้งาน เช่น Power Mode สำหรับรีดกำลังจากเครื่องยนต์ ด้วยการเพิ่มความไวในการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ ที่ตอบสนองได้ทันกับการกดคันเร่ง หรือ Eco Mode สำหรับเน้นความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ระบบไฮบริดของพรีอุสเป็นแบบ Hybrid Synergy Drive หรือ HSD ซึ่งตอบสนองความเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ สันดาปภายใน แบบ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i ที่มีความจุ 1.8 ลิตร 98 แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร มีกำลังสูงสุด 80 แรงม้า แต่เมื่อรวมการทำงานของทั้ง 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ขุมพลังไฮบริดรุ่นนี้สามารถตอบสนองกำลังสูงสุดได้ 134 แรงม้า ใช้เวลา 9.8 วินาที ในการทำอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม.

พรีอุสส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT สู่การขับเคลื่อนแบบล้อหน้า และมีระดับการปลดปล่อยไอเสียออกสู่อากาศตามมาตรฐาน SULEV หรือ Super Ultra Low Emission Vehicle โดยมีค่าความประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 20.3 กม./ลิตร สำหรับการขับแบบผสมจากการทดสอบของ EPA ซึ่งตัวเลขดีกว่า 2 เจนเนอเรชันที่ผ่านมา นี่จึงนับเป็นทางเลือกที่ตอบสนองผู้บริโภคชาวไทย ให้ก้าวทันไปกับโลกยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง แต่นอกจากเรื่องเทคโนโลยีแล้ว ราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภค ซึ่งตามรายงานข่าวเพื่อแจ้งเกิดในตลาดไทยให้ได้ โตโยต้าจึงวางราคาของ “โตโยต้า พรีอุส” ไว้ใกล้เคียงกับ “ฮอนด้า ซีวิค” ตัวท็อป หรือประมาณล้านต้น ๆเท่านั้น

Hyundai Sonata 2.0T กับการพิสูจน์ศักดารถโสม

หลังจากที่เงียบหายไปจากวงการยนตรกรรม ไปพักหนึ่งเพื่อปรับโครงสร้างภายในองค์กร แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงสำคัญของการเตรียมความพร้อมที่จะเดินก้าวต่อไปแล้วมาวันนี้ Hyundaiกลับมาพร้อมกับเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดที่เกาะกระแสของการนำระบบอัดอากาศมาใช้กับเครื่องยนต์ที่มีซีซีน้อยเพื่อให้มีเรี่ยวแรงหรือพละกำลังเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องยนต์ที่มีทั้งจำนวนกระบอกสูบและซีซีเยอะกว่า แต่มีความประหยัดน้ำมันใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ซีซีน้อย ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

ฮุนไดเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายล่าสุดที่นำเสนอเทคโนโลยีนี้ผ่านทางรถยนต์ครอบครัวรุ่นนิยมอย่างโซนาตา ซึ่งแม้ว่าจะมากับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงที่มีความจุแค่ 2,000 ซีซี แต่เมื่อกางตารางทางเทคนิคดูจะพบว่าจำนวนม้าในคอกมีเยอะแบบไม่ธรรมดา ความนิยมในแนวทางนี้เป็นผลมาจากการมองหาความประหยัดน้ำมันแต่คงสมรรถนะในการขับขี่ โดยก่อนหน้านี้ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,800 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ ที่เบ่งกล้ามได้ในระดับ 143-192 แรงม้า ก่อนที่แนวคิดนี้จะมาโด่งดังกับโฟล์คฯ ซึ่งเปิดตัวเครื่องยนต์ TSI หรือ Twincharger โดยจับระบบอัดอากาศมาติดตั้งในเครื่องยนต์บล็อกเล็ก แม้ว่าจะมีความจุเพียงแค่ 1,400 ซีซีเท่านั้น แต่มีระดับของแรงม้าให้เลือกตั้งแต่ 140 ตัวไปจนถึงในระดับ 180 ตัวกันเลยทีเดียว จากนั้นฟอร์ดจึงนำแนวคิด EcoBoost มาใช้และพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานได้จริงกับเครื่องยนต์ 4 สูบ และวี6
จุดเด่นของแนวคิดนี้คือ ความประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าเท่ากันแต่ทว่ามีจำนวนกระบอกสูบและซีซีเยอะกว่า ซึ่งถ้าเท้าขวาไม่หนักชนิดกดไม่ยั้งจนระบบอัดอากาศทำงานตลอด ความประหยัดน้ำมันที่ได้จากเครื่องยนต์ก็จะใกล้เคียงหรือมากกว่าเครื่องยนต์ที่มีความจุเท่ากัน แต่ถ้าอยากซิ่งก็กดได้เต็มๆ แบบไม่ต้องเกรงใจเพื่อให้เทอร์โบทำงาน ดังนั้นเครื่องยนต์จึงมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน เพราะถ้าอยากได้ม้าเยอะก็ไม่จำเป็นจะต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีความจุหรือจำนวนกระบอกสูบเยอะอีกต่อไป สำหรับฮุนได โซนาต้า 2.0T มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซีบล็อกใหม่ แถมด้วยระบบจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง หรือ GDI และเทอร์โบแบบ Twin-Scroll เพื่อช่วยในการอัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ และปรับบูสต์เอาไว้สูงถึง 17.4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว พร้อมเวสต์เกตทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้การควบคุมบูสต์ของเทอร์โบมีความแม่นยำมากขึ้น และปรับอัตราส่วนการอัดเอาไว้ที่ 9.5 : 1

ผลคือ กำลังสูงสุดในระดับ 274 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 37.1 กก.-ม. ที่ 1,800-4,500 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์แบบวี6 ที่มีความจุในระดับ 3,000 หรือ 3,500 ซีซีเลยทีเดียว หรือเครื่องยนต์มีแรงม้าต่อลิตรอยู่ที่ 137 แรงม้าต่อ 1 ลิตรส่งกำลังสู่ล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมโหมด SHIFTRONIC สำหรับเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เอง ส่วนความประหยัดสำหรับการขับในเมืองอาจจะไม่หวือหวามาก เพราะอยู่ที่ 8.9 กิโลเมตรต่อลิตร แต่เมื่ออยู่บนไฮเวย์หายห่วงขยับขึ้นมาเป็น 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร

การพัฒนามีขึ้นบนตัวถังแบบ 4 ประตูของโซนาต้าใหม่ในรหัส YF ที่ได้รับการปรับปรุงและเสริมแต่งเพื่อความสปอร์ตในอีกระดับ ทั้งล้อแม็ก 18 นิ้ว ปลายท่อไอเสียออก 2 ฝั่งซ้าย-ขวาและมูนรูฟแบบพานอรามิกควบคุมด้วยไฟฟ้า ขณะที่ระบบช่วงล่างมีการปรับความแข็งโดยเฉพาะในเรื่องการบิดตัวและความหนึบให้ดีขึ้นจากรุ่นมาตรฐาน 25 และ 17% ตามลำดับ การทำตลาดจะมีขึ้นในสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้พร้อมกับรุ่นไฮบริด ส่วนราคายังไม่มีเปิดเผยออกมา แต่เชื่อว่าน่าจะแพงกว่า 24,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 816,000 บาทซึ่งเป็นรุ่นท็อปของเครื่องยนต์ 2,400 ซีซีไม่มาก


"Mazda 2" mini sport car

มาสด้า 2 ในแบบสปอร์ต ซีดานหรือรถยนต์นั่ง 4 ประตู เปิดตัวตามหลังมาสด้า 2 แฮทช์แบ็กที่ทำยอดขายถล่มทลายมาก่อนหน้า ถูกออกแบบมาให้ลายเส้นต่าง ๆ มารวมเป็นรูปทรงของรถยนต์ที่ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ต ด้วยกระจังหน้าทรง 5 เหลี่ยมขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกับกันชน ด้านหลังมี สปอยเลอร์หลังแบบชิ้นเดียวกับฝากระโปรงท้าย

ห้องโดยสารใช้โทนสีเบจมาเป็นลูกเล่น เบาะนั่งด้านหน้ากว้างขวาง ส่วนเบาะหลังนั่งแค่ 2 คนกำลังดี รวมทั้งมีพื้นที่เก็บของตามจุดต่าง ๆ ทั่วรถ ส่วนระบบความบันเทิงมีให้ครบครันทั้งเครื่องเล่นวิทยุ ซีดี รองรับไฟล์เอ็มพี 3 ฟังก์ชันช่องเชื่อมต่อไอพอด พร้อมกับสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงจากพวงมาลัย

ตำแหน่งเบาะนั่งของคนขับปรับสูงต่ำให้พอดีกับสรีระเหมาะสำหรับขับทางไกลอย่างสบาย ด้วยผ้าโทนสีเบจสบายตาไม่นุ่มไม่แข็งเกินไป ระบบกุญแจอัจฉริยะ สมาร์ท คีย์เลส เอ็นทรี ที่เปิด-ปิดประตูโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ปุ่มควบคุมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ลงตัว

นอกจากนี้การนำเทคโนโลยี “น้ำหนักเบา” ซึ่งมีใช้ในมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เข้ามาใช้ช่วยลดน้ำหนักรถให้เบาเหลือเพียง 1,066 กิโลกรัม ส่งผลให้รถยนต์มีสมรรถนะด้านการขับขี่ การบังคับควบคุมและหยุดรถดี ความรู้สึกแรกที่รถออกตัวปราดเปรียวทันใจ เหมาะกับคนรุ่นใหม่ใช้ขับในเมือง เนื่องจากมาสด้า 2 ตัวนี้คล่องแคล่วลงตัวด้วยวงเลี้ยวแคบเพียง 4.9 เมตร

เมื่อมองขุมพลังมาสด้า 2 ใช้เครื่องยนต์แบบ MZR DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1,500 ซีซี 103 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อม ระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ S-VT และระบบวาล์วควบคุมการไหลเวียน TSCV แม้ว่าแรงม้าไม่มากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาประกอบกับช่วงล่างที่เซตไว้ดีกลายเป็นจุดเด่น ไม่ว่าจะเป็นช่วงออกตัวจนถึงความเร็วระดับ 100 กม./ชม. พวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบอิเล็ก ทรอนิกส์ (อีพีเอเอส) ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตามเมื่อความเร็วขึ้นไปเกิน 120 กม./ชม. ยังไม่พบอาการโคลงแม้ว่าจะเข้าโค้งค่อนข้างเร็ว ท้ายมีอาการส่ายเล็กน้อย แต่มีผลดีช่วยให้การเข้าโค้งได้รวดเร็วขึ้น รวมทั้งมีโอกาสใช้เบรกเอบีเอสซึ่งผลที่ได้คือความมั่นใจตามมา

ทัศนวิสัยการขับค่อนข้างดี ทั้งกระจกด้านหน้า กระจกมองหลัง ยกเว้นการถอยจอด ซึ่งคนตัวเล็กอาจจะมีปัญหาการมอง เนื่องจากท้ายรถสูงทำให้ไม่เห็นสิ่งของที่อยู่ด้านหลัง ต้องระวังขณะถอยสักนิด การเก็บเสียงในห้องโดยสารค่อนข้างดีทีเดียวสำหรับรถเล็ก หากมองในภาพรวม มาสด้า 2 ซีดานถือว่าออกแบบลงตัวทั้งรูปร่างหน้าตารวมถึงความสนุกท้าทายในการขับขี่.

ข้อมูลทางเทคนิค มาสด้า 2 แม็กซ์ A/T

มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,244/1,695/1,476 มม.
แบบเครื่องยนต์ MZR DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อม ระบบ S-VT และ TSCV
ความจุกระบอกสูบ 1,498 ซีซี
กำลังสูงสุด 103 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
เกียร์ อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ราคา 675,000 บาท



วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Ford Focus RS500

Ford ได้เผยภาพและรายละเอียดของรถเวอร์ชั่นสุดโหดของ RS อย่าง Focus RS500 ก่อนกำหนดการตามแผนงานเดิมอันเนื่องมาจากว่ากระแสความสนใจของลูกค้ามี มากกว่าที่คิดไว้มาก Ford เลยสนองในเบื้องต้นโดยการปล่อยภาพสวยๆชัดๆพร้อมวิดีโอที่ทำให้ผู้กำลังรอคอย รู้สึกเข้าใกล้รถเล็กแต่แรงรุ่นนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่ง Focus RS500 เป็นรุ่น Limited Edition ที่จะผลิตออกมาจำหน่ายเพียง 500 คันเท่านั้นและใช้สียอดนิยมในปัจจุบันคือ สีดำด้าน

ระบบขับเคลื่อนของ Focus RS500 เป็นเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.5 ลิตร ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ ให้กำลังรวม 345 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 460 นิวตันเมตร ที่ระหว่าง 2,500-4,500 รอบ/นาที ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 15% ส่วนแรงบิดเพิ่มขึ้น 4.5% อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ดีขึ้นที่ 5.6 วินาที ลดลงจากเดิม 0.3 วินาที จากที่เคยทำได้โดย Focus RS และทำความเร็วแตะระดับ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 12.2 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 265 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งความเร็วที่ดีขึ้นจากเดิมอีก 2 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เนื่องมาจากการอัพเดทซอฟท์แวร์ใหม่ให้กับ ECU การใช้อินเตอร์คูลเลอร์และตัวกรองอากาศขนาดใหญ่ขึ้น มีการปรับปรุงในเรื่องระบบการอัดฉีดน้ำมันและท่อไอเสียก็มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ด้วย การปรับแต่งรับผิดชอบโดย Ford TeamRS ร่วมมือกับ Revolve Technologies

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นคือ Focus RS500 ใช้การหุ้มฟอยล์สีดำด้าน โดยวิ่งบนล้ออัลอยขอบ 19 นิ้วสีดำเช่นกัน ใช้คาลิปเปอร์เบรคสีแดง ภายในห้องโดยสารบริเวณคนขับจะเห็นแผ่นเหล็กที่ติดอยู่บริเวณคอนโซลแสดงหมาย เลขประจำตัวรถ มีการใช้เบาะที่นั่งของ Recaro ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone บลูทูธ ระบบเครื่องเสียงของ Sony และอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ Ford มีแผนจำหน่าย Focus RS500 ใน 20 ประเทศทั่วยุโรปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553ในงาน 2010 Leipzig Motor Show ประเทศเยอรมันนีครับ

มีคลิปสั้นๆยั่วใจมาให้ชมกันครับ



Isuzu D-Max X-Series


Isuzu D-Max X-Series ภายนอกโดดเด่น ท้าทายทุกสายตา

* รหัสร้อนแรงกับสัญลักษณ์ ISUZU สีแดงโดดเด่นไม่เหมือนใคร
* ตกแต่งลายคาดคู่ด้านหน้าสไตล์สปอร์ต เอกลักษณ์แห่งความโฉบเฉี่ยว ในรุ่น Speed และ Hi-Lander 2500 Ddi
* ตกแต่งสคูปฝากระโปรงหน้าเท่ ดุดัน เน้นเอกลักษณ์ความแรงในรุ่นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo
* ขอบหน้าต่างและแถบกันกระแทกด้านข้าง โดดเด่นด้วยวัสดุโครเมี่ยม
* ตกแต่งด้วยสีเทาพิเศษรอบคัน ทั้งขอบล้อ (Fender) และบันไดข้าง (Side Step) ขับเน้นความเท่ทุกเส้นทางในรุ่น LS
* ชุดสเกิร์ตรอบคันขับเน้นความเท่ สปอร์ตเร้าใจ (ในรุ่น Speed)

Isuzu D-Max X-Series ภายในตกแต่ง ให้อารมณ์สปอร์ต พร้อมความบันเทิง

* สัญลักษณ์ ISUZU สีแดงที่พวงมาลัย
* มาตรวัด Super Vision ใหม่แบบสปอร์ต พร้อมแผงควบคุมเรืองแสงสีส้มแอมเบอร์ให้อารมณ์สปอร์ต
* ห้องโดยสารโทนเข้มสุดเท่ พร้อมเบาะนั่งและวัสดุบุข้างประตูขับเน้นสีแดง
* พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนังแท้จับกระชับ

ระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบ Platinum Entertainment จาก Kenwood ด้วยชุดเครื่องเล่นดีวีดีที่คอนโซล หน้าขนาด 7 นิ้ว (2 Din) ควบคุมการทำงานด้วยระบบสัมผัส พร้อมเชื่อมต่อความทันสมัย สนุกไปกับทุกจังหวะชีวิตทั้ง iPod, iPhone และ BlackBerry รวมถึง Bluetooth Connection ต่อติดทุกการสื่อสารยุคใหม่อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย (*ต้องเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์เสริมพิเศษเพิ่มเติม) พร้อม Platinum Vision Camera กล้องมองภาพขณะถอยหลัง เสริมความคล่องตัวให้ไลฟ์สไตล์ในเมือง (ในรุ่น LS และ Hi-Lander)

เครื่องยนต์ดีเซล ซูเปอร์คอมมอนเรล มาตรฐาน Euro 3

กระชากใจไปทุกเส้นทาง สุดประหยัด ได้มาตรฐาน Euro 3 พร้อมรองรับพลังงานทางเลือกดีเซล B5 ชุดเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แบบสปอร์ตพันธุ์ดุ เข้าเกียร์ง่าย แม่นยำ ขับมันทุกสถานการณ์ ระบบเทอร์โบแปรผัน VGS Turbo ให้ความแรงสวนทางกับอัตราสิ้นเปลือง

1. เครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร
2. 2500 Ddi Turbo 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร

Isuzu D-Max X-Series มันได้กับทุกที่สุดโปรด สนุกได้ทั้งในและนอกเมือง เกาะถนนเป็นเยี่ยม

* TOUCH-ON-THE-FLY ระบบเลือกโหมดขับเคลื่อนควบคุมด้วยไฟฟ้า เปลี่ยนจากขับเคลื่อน 2 ล้อเป็น 4 ล้อ ได้ด้วยปลายนิ้วสัมผัส เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ได้ง่ายดั่งใจ
* Independent Double Wishbone
* Torsion Bar แกร่ง ทนทาน สำหรับรุ่น LS และ Hi-Lander
* Coil Spring นุ่มหนึบ เกาะถนน สำหรับรุ่น Speed
* Super Flex-Plus Suspension ช่วงล่างออกแบบพิเศษ สำหรับรุ่น 4 ประตู ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ แต่หนึบแน่น ทรงตัวเป็นเยี่ยมในทุกโค้ง
* เฟืองท้ายแบบมีลิมิเต็ดสลิปในรุ่น LS ลดปัญหาล้อหมุนฟรีขณะวิ่งในทางวิบาก

ขับเคลื่อนสู่กิจกรรมใหม่ๆ ให้ชีวิตสนุกอย่างมีสไตล์ ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ i-GENii ถึงทุกที่หมายได้อย่างรวดเร็ว ทำงาน ทำเวลา ทำความคุ้มค่าให้ชีวิต ด้วยการวางแผนการขับขี่ที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น เสริมสร้างความมั่นใจในการเดินทางค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ แม้ในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย (ในรุ่น LS และ Hi-Lander)
ระบบป้องกันทั้งก่อนเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และหลังเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) ให้คุณเดินทางค้นหาไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ได้อย่างอุ่นใจ

* แอร์แบคคู่ ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัย ช่วยลดแรงกระแทกต่อผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้า (อุปกรณ์เฉพาะรุ่น)
* ระบบเบรก ABS ชนิด 3-Channel 4-Sensor พร้อมระบบควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD (อุปกรณ์เฉพาะรุ่น)
* Platinum Vision Camera กล้องมองภาพขณะถอยหลัง เสริมความคล่องตัวให้ไลฟ์สไตล์ในเมือง (ในรุ่น LS และ Hi-Lander)
* ไฟหน้าแบบเลนส์ Projector ส่องสว่างชัดเจน และไฟตัดหมอกหน้าเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่
* โครงสร้างตัวถังในรุ่น 2 ประตู เป็นโครงสร้างห้องโดยสารแบบมีเสากลาง (Safety Pillar Cab) และประตูเสริมคานเหล็กนิรภัย เสริมความแข็งแกร่ง พร้อมช่วยรองรับแรงกระแทกจากการชน