สองค่ายท็อปรถหรู “เมอร์ เซเดส-เบนซ์” และ “บีเอ็มดับเบิลยู” เปิดศึกชิงตำแหน่งเบอร์ 1 ตลาดพรีเมี่ยม งัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบชนกันแบบหมัดต่อ หมัด หวังปั๊มยอดขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดงานภายในองค์กร ตัวแทนจำหน่าย เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย พร้อมกับเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการ ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะแนะนำสู่ตลาด ต่างขนมาฟัดกันอย่างดุเดือด ค่ายดาวสามแฉกเปิดตัว “อี-คลาส” ใหม่ เวอร์ชั่นซีเคดีเคาะราคา 4.999 ล้านบาท และจะมีรุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบทยอยตามมา พร้อมกันนี้ยังเปิด “เอส-คลา ส” ใหม่ ราคา 7.799-10.999 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีเตรียมพบสปอร์ตปีกนก SLS AMG ที่มาพร้อมกับขุมพลัง 563 แรงม้า ขณะที่ค่ายใบพัดสีฟ้าไม่น้อยหน้า เปิดตัว 320i SE DVD+Navigator E20 กดราคาลงมา 1.5 แสนบาท และเตรียมนำเข้าอีกหลากรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น X1 คอมแพ็คต์เอสยูวีใหม่, Z4 sDrive35is, ซีรี่ย์ 3 คูเป้ และคอนเวิร์ทติเบิลใหม่ ส่วนไฮไลต์ “ซีรี่ส์ 5” โฉมใหม่ นับจากเดือนมีนาคมไปอีก 9 เดือน เตรียมขึ้นไลน์ประกอบในไทย สำหรับแบรนด์ในเครืออย่าง “มินิ” จะนำเข้าตัวถังใหม่ล่าสุดแบบ 4 ประตู “Countryman” มาเอาใจแฟนๆ ปลายปีนี้แน่นอน “เมอร์เซเดส-เบนซ์จะรักษาความเป็นผู้นำของตลาดรถหรูไว้ โดยปรัชญาของการดำเนินงานของเรา คือ เป็นอันดับ 1 ของตลาด แต่ปฏิบัติตัวเหมือนกับเป็นอันดับ 2 หรือ 3 เพื่อที่จะได้ไม่หยุดนิ่ง และเดินหน้าการทำงาน และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “ศ.ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์” ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด ในการแถลงข่าวถึงแผนการดำเนินงานของเมอร์เซเดส -เบนซ์ประจำปี 2553 เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่คู่แข่งเบอร์ 1 อย่างบีเอ็มดับเบิลยูก็ไม่น้อยหน้า ถัดมาในวันแรกของสัปดาห์นี้(25 ม.ค.) ได้แถลงทิศทางการดำเนินงาน นำโดย “มิคาเอล คอร์ดิส” ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ประกาศให้ผู้บริโภครับทราบทีเด็ดปีนี้เช่นกัน
“ในปีนี้บีเอ็มดับเบิลยูมุ่งที่การเติบโตอย่างมีคุณภาพ และจะมุ่งเน้นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการสร้างแบรนด์และ การให้บริการที่ดีเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าของเรา และนี่จะเป็นรากฐานสำคัญในการเตรียมความพร้อมเพื่อชิงตำแหน่งผู้ นำในเซ็กเมนท์พรีเมี่ยม”จากการประกาศของสองบอสใหญ่ค่ายผู้นำตลาดรถหรู คงเห็นสัญญาณของการแข่งขันพอสมควร ส่วนการที่จะผลักดันให้บรรลุตาม เป้าหมายนั้น ทั้งสองค่ายต่างงัดกลยุทธ์ออกมาใช้ครบครัน ตั้งแต่การเพิ่มศักยภาพทีมงาน เครือข่าย และแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินใจจะเลือกใคร?
เริ่มกันที่เจ้าตลาดค่ายเมอร์ เซเดส-เบนซ์ ที่ประกาศงัดกลยุทธ์ Triple Trust ด้วยการเพิ่มความใกล้ชิด สร้างความเชื่อมั่นและเชื่อใจ ทั้งในส่วนของทีมงาน ตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภค เพื่อที่จะทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องใกล้ชิดผู้บริโภค เพราะจำเป็นต้องรับทราบข้อมูลเชิง ลึก สำหรับตอบสนองความต้องการ หรือปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน
ในส่วนของการบริการหลังการขาย เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ใช้หลังกา รบริหาร 3Q++ อันมาจาก Quality และ Qualify ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ งานบริการหลังการขาย ที่ช่างเทคนิคไม่เพียงซ่อมรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ ทั่วไป แต่จะต้องมีช่างที่เจาะลึกลงไปเฉพาะด้านของตัวรถ เพราะปัจจุบันรถยนต์มีเทคโนโลยีระดับสูง ความรู้ความสามารถทั่วๆ ไปอาจจะไม่เพียงพอ หรือแม้แต่งานบริการก็ต้องปรับปรุงตั้งแต่ราย ละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นการเรียกสรรพนามลูกค้า เป็นต้น ขณะเดียวกันราคาของอะไหล่ หรือการเข้าบริการหลังการขายต้องเหมาะ สม ส่วนเรื่องของเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ ยังเตรียมเพิ่มในพื้นที่ที่ยังว่างมากขึ้น เช่น พื้นที่ทางจังหวัดเชียงราย หรือช่วงระหว่างจังหวัดเพชรบุรีถึงชุมพร เป็นต้น
ทางด้านค่ายใบพัดสีฟ้าบีเอ็ม ดับเบิลยู เร่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าเช่นกัน โดยวางแผนการขยายระบบเครือข่ายศูนย์จำหน่ายและบริการเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง สำหรับรองรับการเติบโตของตลาด และเพิ่มศักยภาพการบริการลูกค้า รวมถึงศูนย์ฝึกอบรมบุคลากร BMW Training Academy ซึ่งพร้อมดำเนินงานเต็มรูปแบบ ทั้งในส่วนของการอบรมด้านเทคนิคและด้าน การบริหารการให้บริการ สำหรับทั้งในส่วนการขายและบริการหลังการขาย รองรับการเพิ่มศักยภาพการบริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับ ลูกค้า
และแน่นอนที่เป็นตัวตัดสินสำคัญ ย่อมต้องเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะ แนะนำสู่ตลาดปีนี้ ซึ่งค่ายบีเอ็มดับเบิลยูยังคงเดินหน้าเพิ่มทางเลือก ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดแนะนำบีเอ็มดับเบิลยู 320i SE DVD+Navigator E20 นับเป็นรถคันแรกของซี่รี่ส์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 จึงได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิตรลดลง ส่งผลราคาจำหน่ายเคาะที่ 2.599 ล้านบาท ลดลงจากเดิมประมาณ 1.5 แสนบาท สำหรับโฉมใหม่ ของซีรี่ส์ 5 ที่จะเปิดตัวในตลาดโลกเดือนมีนาคม เนื่องจากบีเอ็มดับเบิลยูต้องรอดูความพร้อมของบริษัทแม่ที่จะส่ง รถสำเร็จรูปให้ได้เมื่อไหร่ และหวั่นผู้นำเข้าอิสระหรือเกรย์มาร์ เก็ต จะนำเข้ามากวาดยอดขายไปก่อน และสร้างปัญหาตามมาทีหลัง จากการปรับทางเทคนิคของรถในแต่ละภูมิภาคไม่ตรงกัน เพื่อรองรับมาตรฐานน้ำมันของแต่ละภูมิภาค ซึ่งไทยมีค่ามาตรฐานต่ำกว่ายุโรป บีเอ็มดับเบิลยูจึงประกาศไม่รับประกันสินค้าและ บริการหลังการขายรถที่ไม่ได้ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สำหรับซีรี่ส์ 5 ใหม่ และรุ่นอื่นๆ ที่จะตามมาภายหลังนับตั้งแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นไป ส่วนรุ่นประกอบในประเทศนับถอยหลังอีก 9 เดือนจากเปิดตัวในตลาด
ไม่เพียงเท่านี้ค่ายบีเอ็มดับเบิลยู ยังเตรียมขนรถใหม่มาเปิดตัวอีกเพียบ โดยเฉพาะการเปิดเซกเม้นท์ใหม่ คอมแพ็คต์เอสยูวีหรูในไทย กับการนำเข้า บี เอ็มดับเบิลยู X1 ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับเอสยูวีรุ่น X3 ที่ประสบความสำเร็จอย่างดีในไทย โดยใช้ทั้งระบบขับเคลื่อนและเครื่อง ยนต์ร่วมกัน แต่ถูกวางตัวให้ทำตลาดต่ำกว่า โดยหวังแชร์ส่วนแบ่งจากกลุ่มลูกค้า หลักของโฟล์คสวาเกน Tiguan และฮอนด้า ซีอาร์-วี ด้วยการตั้งราคาแพงกว่านิดหน่อย สำหรับเมืองไทยคงไม่ใช่นิดหน่อยแน่
ส่วนเครื่องยนต์ที่จะทำ ตลาดยังไม่เปิดเผย แต่หากจะเปิดตลาดใหม่จริงๆ บีเอ็มดับบลิวต้องนำเข้าเครื่องยนต์เทอร์ โบดีเซล 2.0 ลิตรมาทำตลาด แต่ดูแล้วหวยน่าจะออกที่เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร ส่วนที่ตามมาในปีนี้ บีเอ็ม ดับเบิลยู Z4 sDrive35is ที่เพิ่มความแรงจากรุ่นท็อป Z4 sDrive35i เป็น 340 แรงม้า และเสริมความเข้มกับชุดแต่ง M Package โดยควงคู่มากับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 คูเป้ และคอนเวิร์ทติเบิลใหม่ เท่านั้นยังไม่พอในส่วนของ มอเตอร์ไซค์ ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายรุ่น เช่น บีเอ็มดับเบิลยู S1000RR Superbike และรุ่น R1200 ทั้งในตัวถังแบบ GS, GS Adventure และ RT ขณะที่แบรนด์ในเครืออย่าง “มินิ” ปลายปีเตรียมเปิดตัวรุ่น “Countryman” ซึ่งเป็นตัวถังใหม่จากค่ายมินิ ด้วยการขยายตัวถังให้เป็นรถแบบ 4 ประตู แต่ความเป็นเอกลัษณ์ของมินิยังคงมีเต็มเปี่ยม มากันที่ค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ แน่นอนไฮไลต์หลักปีนี้ย่อมต้องตัว ธง “อี-คลาส” โฉมใหม่ (W212) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นประกอบในประเทศ(CKD) โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการรุ่นแรกไปแล้ว กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ E300 AVANTGARDE เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร 219 แรงม้า เคาะราคาออกมาที่ 4.999 ล้านบาท และแน่นอนภายในปีนี้จะมีทยอยตามออกมา อีก โดยเฉพาะเครื่องยนต์ 4 สูบ ซึ่งขณะนี้กำลังรอการอนุมัติผ่านมาตรฐาน มลพิษจากกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่
และอีกโมเดลที่เปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ เช่นกัน “เอส-คลา ส” ซึ่ง ได้มีการปรับรูปลักษณ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นไฟคู่หน้า และไฟท้ายใหม่ แถมยังพกพามความทันสมัยและ เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ โดยเฉพาะจอภาพแสดงผลแบบ SPITVIEW ซึ่งสามารถแสดงภาพสองมุมมองภายใต้จอแสดงผลเดียว เพราะในขณะผู้ขับขี่อ่านแผนที่จากระบบเนวิเกเตอร์ ผู้โดยสารด้านหน้าก็สามารถ ชมภาพยนต์จากเครื่องเล่นดีวีดีได้ ถือเป็นครั้งแรกของโลกยานยนต์ทีเดียว โดยเอส-คลาสใหม่มี 3 รุ่นให้เลือก ได้แก่ รุ่น S300L ราคา 7.799 รุ่น S350 CDI EFFICIENCY L ราคา 7.99 ล้านบาท และรุ่น S500L ราคา 10.999 ล้านบาท
ส่วนรถนำเข้าที่มาสร้างสีสันหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นสปอร์ตปีกนก SLS AMG ที่ได้รับอิทธิพลในการออก แบบและสร้างสรรค์ จากความคลาสสิคอย่างรุ่น 300SL หรือ Gullwing โดยเฉพาะประตูทั้ง 2 บาน ซึ่งเปิดขึ้นในลักษณะปีกนกเช่นกัน ติดตั้งขุมพลังแบบเดียวเป็นเครื่องยนต์วี8 ขนาด 6,300 ซีซี 563 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 48.9 กก.-ม. ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยเกียร์ 7 จังหวะแบบกึ่งอัตโนมัติ ใช้เวลา 3.7 วินาที ในการทำอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 317 กิโลเมตร/ชั่วโมง
จากการเปิดเผยแผนธุรกิจของสองค่ายยักษ์ในตลาดหรู คงจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้พอสมควร ส่วนจะทำได้อย่างที่พูดไว้หรือไม่? สุดท้ายบรรดาเศรษฐีไทยจะเป็นผู้ตัดสิน ให้รางวัลหรือลงโทษเอง!
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น