Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การพัฒนาการวงการรถยนต์เมืองไทยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

ทุกวันนี้ประเทศไทยเรามีการพัฒนาการในวงการรถยนต์เป็นไปอย่างรวดเร็วและด้วยยอด ขายรถยนต์ที่อยู่ในระดับแนวหน้าในกลุ่มอาเซียนและในฐานะที่เราเป็นประเทศ ที่กำลังมุ่งพัฒนาประเทศให้เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์และได้รับความ เชื่อมั่นจากนักลงทุนให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ในกลุ่มอาเซียน ดูเหมือนประเทศไทยเราจะล้ำหน้าประเทศเพื่อนบ้านในประเทศ อาเซียน ด้วยกันไปหลายขุม แล้วเราเคยถามตัวเราเองหรือไม่ว่าแล้วประเทศเพื่อนบ้านของเราเขาใช้รถอะไร กัน ล่ะ หากเปรียบเทียบกับประเทศไทยเป็นอย่างไร
ผม มีข้อมูลบางส่วนและมุมมองของผมเองมานำเสนอในมุมมองที่แตกต่างดังนี้

1. ทำไมประเทศไทยจึงนิยมปิคอัพ มากกว่ารถประเภทอื่นๆ
ก่อนอื่นเราลองมาพิจารณา ข้อมูลภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ที่ขายอยู่ในบ้านเรา ตามตารางด้านล่าง

ประเภทของรถยนต์และ %ภาษี สรรพสามิต

5.01 - รถยนต์นั่ง 35
(1.2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,400 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร- 3000 41%
(1.3) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 3,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือ 48 %
(2) รถยนต์นั่งตรวจการณ์ (OFF-road Passenger Vchicle : OPV) 29 %
(3) รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Pink-upPassenger Vehicle : PPV) 18 %
(4) รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (DOUBLECAB) 4 ประตู 12 %

5.02 - รถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน10 คน
(1) ที่ผลิตสำเร็จรูป หรือที่ดัดแปลงมาจากรถยนต์กระบะหรือสิ่งใดๆ
(1.1) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,400 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร 35 %
(1.2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร 41 %
(2.1) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน 2,400 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร 35 %
(2.2) ที่มีความจุของกระบอกสูบเกิน 2,400 ลูกบาศก์เซนติเมตร 41 %

5.9 (1) รถยนต์กระบะที่ออกแบบสำหรับให้มีน้ำหนักรถรวมน้ำหนัก ไม่เกิน 4000กิโล
(1.1) ซึ่งมีคุณลักษณะตามที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด 3 %
(1.2) ซึ่งมีคุณลักษณะนอกจาก(1.1) 18 %

เรา จะพบว่ารถปิคอัพเป็นรถยนต์ประเภทเดียวที่เสียภาษีสรรพสามิตต่ำที่สุด เพียง3 % ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้ค่ายรถยนต์แทบจะทุกๆค่ายใช้รถยนต์ปิคอัพเป็นหัวหอกในการทำตลาดมา มากกว่า 20 ปี จนกระทั่ง คนไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศ ที่ใช้รถปิคอัพมากที่สุดเป็นอันดับที่2ของโลก รองจาก ประเทศอเมริกา

แต่ ความเป็นจริงแล้วคนในประเทศเราใช้รถยนต์ผิดจุดประสงค์ กล่าวคือ ทุกวันนี้ คนส่วนใหญ่ใช้รถปิคอัพเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคลมากกว่าที่จะใช้ในการบรรทุก สินค้าจากการกเษตร หรือขนสินค้า ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นรถยนต์ที่ราคา ถูกที่สุดและเสียภาษีรายปีต่ำกว่ารถยนต์ประเภทอื่นๆ ซึ่งนี้เป็นเหตุผลให้ผู้ผลิตรถยนต์ ปิคอัพในเมืองไทยพยายามทุมทุนที่จะทำให้รถปิคอัพดูคล้ายรถยนต์นั่งให้มากที่ สุด และทำให้มี ห้องโดยสารที่เราเรียกว่า Cab กันทุกยี้ห้อเพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเข้าไปนั่งโดยสารได้โดยการเก็บคองอเข่า กันตามอัตรภาพ
หลังจากที่มีการผลิตรถยนต์ปิคอัพที่มีcabออกมา ก็มีคนหัวใสทำหลังคาออกมาครอบด้านหลังแล้วทำเบาะให้กลายเป็นที่นั่ง ซึ่งไม่ได้ออกแบบที่นั่งแบบนี้ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัย ในการโดยสารเลยแม้แต่นิดเดียวแล้วก็ขายจนร่ำรวยกันไปหลายราย
จนในช่วง 5ปีที่ผ่านมาเราจะเห็นได้ว่าเริ่มมีรถปิคอัพที่มี 4 ประตูออกมาวิ่งให้เห็นกันมากขึ้น ก็ด้วยภาษีที่เปลี่ยนแปลงลดลง เป็นมาเป็น12 % ซึ่งทำให้ราคาลดลงมาระดับหนึ่งจนเป็นทางเลือกที่ดูว่าจะดีขึ้นอีกระดับ
หาก เราเหลือบตามองประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนของเราที่มี วิถีชีวิตคล้ายๆ กับคนไทยคือคนส่วนใหญ่เป็น เกษตรกรและ มีวิถีชีวิตคล้ายกันกับคนในประเทศเราแล้วพวก เขานิยมใช้รถยนต์ประเภทไหนกัน

1. อินโดนีเซีย
อิน ดิเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดคือ 220ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 3 เท่าตัว มีระบบการจารจรเหมือนกับประเทศไทย คือพวงมาลัย อยู่ ด้านขวาของรถยนต์
รถยนต์ ที่ขายดีที่สุด ในประเทศนี้ก็คือ TOYOTA Kijang ซึ่งเป็นรถยนต์นั่งชนิด 7 ที่นั่ง ที่ใช้เครื่องยนต์ ดีเซลขนาด 2.4 ลิตร ชนิดเดียวกับที่เคยใส่ในรถปิคอัพ บ้านเรา และเบนซินขนาด 2.0 ลิตร รถยนต์ ประเภทนี้ ใช้ระบบรองรับคล้ายกับรถปิคอัพบ้านเราแต่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับการใช้งาน เป็นรถยนต์นั่ง และที่สำคัญรถประเภทนี้สามารถพับเบาะที่นั่งให้สามารถใช้ในการบรรทุกของได้ ด้วย
ราคาขายในประเทศอินโดนีเซีย อยู่ที่ 450000 ถึง 7500000 บาท ขึ้นอยู่กับออฟชั่นที่เพิ่มเข้าไป

2. ฟิลิฟปินส์
ประเทศ ฟิลิฟปินส์ เป็นประเทศที่มีประชากร80 ล้านคน ใกล้เคียงกับประเทศไทยเราแต่มีระบบการจารจรต่างจากประเทศไทย คือพวงมาลัย อยู่ ด้านซ้ายของรถยนต์
รถยนต์ขายดีที่สุดในประเทศนี้ก็เป็นรถยนต์จาก ค่าย TOYOTA ซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกับ KIJANG แต่ใช้ชื่อว่า Toyota Tamaraw หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ RAVO โดยมีอุปกรณ์ และรูปร่างคล้ายคลึงกันกับ KIJANG ในอินโดนีเซีย
ราคาขายรถยนต์ รุ่นนี้ ในประเทศ ฟิลิฟปินส์ อยู่ ที่ 630,000-797,000 เปโซ ก็ประมาณ 550000-720000 บาท
ลอง พิจารณารูปลักษณ์ภายนอกและภายในของรถยนต์รุ่นนี้ ว่าเขาออกแบได้ดีและเหมาะสมกับการใช้งานของครอบครัวที่มีสมาชิก 5-6 คนที่ต้องเดินทางพร้อมกันบ่อยๆ แล้วราคาก็ไม่ได้ แตกต่างจาก ปิคอัพในบ้านเราเลย นอกจากนี้ รถรุ่นเดียวกันก็มีการทำออกมาเป็นปิคอัพด้วย เพื่อใช้บรรทุกสินค้า

3. มาเลเซีย
ประเทศ มาเลเซีย เป็นประเทศที่มีประชากร 22 ล้านคน มีระบบการจารจรเหมือนกับประเทศไทย คือพวงมาลัย อยู่ ด้านซ้ายของรถยนต์
รถ ยนต์ขายดีที่สุดในประเทศนี้ก็เป็นรถยนต์จาก ค่ายรถยนต์ ที่เกิดจากการทุ่มทุนสร้างของรัฐบาลของเขาเองให้เป็นรถยนต์ แห่งชาติ คือ ยี้ห้อ โปรตรอน ซาก้า และ เปอร์ดัว
โดยรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในประเทศนี้คือ Proton Wira ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับรถ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ ในบ้านเรา
และอีกยี้ห้อหนึ่งก็คือ เปอร์ดัว รถยนต์รุ่นนี้ เป็นการจับมือร่วมกับไดฮัทสุ โดยพัฒนาออกมาหลากหลาบรุ่นโดยเน้นให้เป็นรถ ซิตี้คาร์
ราคา ขายรถยนต์ ในประเทศ มาเลเซีย เริ่มต้น ที่ 250,000 บาท สำหรับรถขนาดเล็ก และในมาเลเซียเองก็มีรถยนต์ประเภทเดียวกันกับอินโดนีเซียและฟิลิฟปินส์ ทำตลาดอยู่เช่นกัน
แล้วเขาใช้รถอะไรในการบรรทุกของหรอสินค้าทางกัน ในประเทศเพื่อนบ้านชองเราเองก็มีรถปิคอัพเหมือนกันแต่ลักษณะของรถเหล่านี้ มุ่งเน้ประโยชน์ ในการบรรทุกจริงๆไม่ใช่ทำออกมาเพื่อเป็นรถยนต์นั่ง ลองมาดูลักษณะของรถปิคอัพที่เขาใช้กันดังนี้ โดยรถยนต์ตามรูปนี้เป็นรถยนต์ปิคอัพขนาด 1 ตัน จากค่าย เกาหลี ยี้ห้อเกียมอเตอร์ และ MITSUBISHI ซึ่งค่ายรถยนต์อื่นอื่นเองก็มีรถปิคอัพแบบเดียวกันนี้จำหน่ายอยู่ในประเทศ เพื่อนบ้านของเราเช่นกัน

ส่วนในประเทศอื่นๆที่ไม่ได้กล่าวถึงเช่นลาว พม่า กัมพูชา หรือ เวียดนามประเทศเหล่านี้ ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการใช้รถยนต์ด้วยเหตุผลเนื่องจากประชากรยังมีราย ได้ไม่มากพอและถนนหนทางยังไม่ได้รับการพัฒามากพอที่จะทำให้คนในประเทศนิยม ใช้รถส่วนตัวแต่ก็ไม่มีประเทศไหนที่มีแนวทางการใช้รถแบบคนไทยเลย คือ ปิคอัพมี Cab

จากข้อมูลที่นำมาเสนอ หากเราหันมามองตลาดรถยนต์บ้านเราทุกวันนี้ซึ่งคนส่วนใหญ่มีความต้องการรถ ยนต์นั่งหรือรถที่สามารถที่จะพาสมาชิกในครอบครัวเดินทางไปยังที่ต่างๆ แต่ไม่ค่อยจะมีทางเลือกมากนักเพราะเนื่องจากราคารถยนต์ที่สูงมากเกินความ เป็นจริงอย่างมากเช่นรถยนต์นั่งขนาด1600 ซีซีหรือรถปิคอัพสี่ปะตูที่มีผลิตออกมาขายในบ้านเราราคาเริ่มต้นก็ปาเข้าไป 7-8 แสนแล้วหรือรถยนต์รถยนต์ประเภทที่ดัดแปลงมาจากปิคอัพที่สามารถบรรทุกผู้ โดยสารได้ 5-7 คน ล้วนแล้วมีราคาเกือบหนึ่งล้านบาททั้งนั้น ก็เลยต้องเลือกใช้ปิคอัพแล้วนำหลังคาไฟเบอร์หรือหลังคาเหล็กมาใส่ เพราะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่มี และสามารถเลือกได้
นอกจากรถยนต์จาก ค่ายTOYOTA ที่ผมนำมากล่าวถึงยังมีรถยนต์ค่ายต่างๆ ก็มีรถชนิดนี้ หรือ ที่เรียกกันว่า AUV (ASIAN UTILITY VEHICLE )ขายอยู่ในตลาดเพื่อนบ้านเราเกือบทุกประเทศ แต่ก็ไม่เคยมีค่ายใด นำรถยนต์เหล่านี้มาให้คนไทยได้สัมผัสกันเลยเช่นตัวอย่างรถที่นำมาให้ชมคือ ISUZU PANTER หรือ MITSUBISHI KUDA

จากที่ได้นำเสนอมาสิ่งที่ผมอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมองเห็นและหาแนวทางในทางแก้ไขและพัฒนาวงการรถยนต์ในประเทศเราดังนี้

จาก ข้อมูลเบื้องต้นผมคิดว่าผู้ที่เกี่ยวข้องควรหันมาพิจารณาและแก้ไขในสิ่ง เหล่านี้ เพื่อให้วงการรถยนต์บ้านเราพัฒนาตามเพื่อนบ้านของเราให้ทัน ในด้านความคิดในการใช้รถยนต์

1 . เลิกการแบ่งแยกการเก็บภาษีตามชนิดของรถยนต์หรือจำนวนที่นั่งหรือระบบรองรับ ว่าเป็นแหนบหรือคอยล์สปริงแต่เปลี่ยนวิธีการจัดเก็บเป็นตามขนาดความจุของ เครื่องยนต์ หรืออัตราการบริโภคน้ำมันของรถยนต์ทั่งนี้เพื่อจุดประสงค์เพื่อ
1.1 คนไทยทุกคนสามารถเลือกรถยนต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานในราคาที่เหมาะสม เช่นมีครอบครัวที่ต้องเดินทางด้วยกันบ่อยๆมากกว่า 5-7 คนก็น่าที่จะเลือกรถยนต์ขนาด 7 ที่นั่งได้ในระดับราคาที่ใกล้เคียงกับรถปิคอัพในปัจจุบันจะได้ไม่ต้อง มานั่งอัดกันในแค็บเล็กๆ หรือต้องไปเสียเงินเพิ่มเพื่อต่อหลังคาหรือเสี่ยงกับการนั่งบนหลังกระบะหลัง

1.2 หาก จักเก็บภาษีตามอัตราการบริโภคน้ำมันของรถยนต์ค่ายรถยนต์ที่มีอยู่จะได้นำ เทคโนโลยีที่ดีจริงๆเช่นพัฒนาเครื่องยนต์ขนาดเล็กที่มีสมรรถนะสูงมาใส่ในรถ เช่นเครื่องยนต์ดีเซล common rail ขนาดไม่เกิน สองพัน ซีซี ที่สามารถใช้น้ำมันได้อย่าประหยัดมาแข่งขันแทนเครื่องยนต์ที่มีแต่จะใหญ่ ขึ้นทุกวันๆ เพาะเครื่องยนต์ที่ใหญ่เกินความต้องการและนำเสนอความแรงที่ล้วนแล้วแต่เป็น ต้นต่อของอุบัติเหตุร้ายแรงที่เราเห็นกันทุกๆวัน
ทั้งนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันกันในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการประหยัดน้ำมันกันมากขึ้นอีกด้วย
1.3 หากเรามุ่งที่จะพัฒนาประเทศให้เป็นผู้ผลิตรถยนต์สิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่ง ก็คือการเปิดโลกทัศน์ของผู้ใช้รถยนต์ในประเทศจะทำให้เกิดแนวทางการพัฒนาการ ออกแบบรถยนต์ที่เหมาะสมกับคนไทยและคนในภูมิภาคอาเซียนของเราพร้อมกับทำให้ เราสมารถผลิตรถยนต์ในราคาที่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยซึ่งยังคงมีความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหรรมรถยนต์ อยู่ในขณะนี้สามารถออกแบบและพัฒนาเพื่อผลิตรถยนต์ของคนเอเชียเพื่อขายให้กับ ประเทศเพื่อนบ้านได้ในอนาคต
สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรลืมหรอมองข้ามก็คือ ทุกๆประเทศในอาเซียนล้วนแล้วแต่เป็นผู้บริโภคเทคโนโลยีและพลังงานด้วยกัน ทั้งหมด หากประเทศไทยเราสามารถผลิตรถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมันได้ มากกว่า18 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร ที่ความเร็วเฉลี่ย 100กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และยังสามารถ บรรทุกผู้โดยสารได้ 5ถึง7คนและสามารถปรับเปลี่ยนเป็นรถบรรทุกของได้ ในบางโอกาสที่ต้องการแน่นอนเลยว่าตลาดในประเทศอาเซียนที่กำลังเติบโตภายใน 10 ปีข้างหน้ากำลังรอเราอยู่ยกเว้นแต่เราจะยังคงเป็นเพียงผู้รับจ้างผลิตรถ ปิคอัพต่อไป

2 ออกกฎหมายหรือบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วเกี่ยวกับการห้ามการโดยสารบนกระบะที่เปิดโล่งบนถนน หรือ ทางหลวง
ทุก วันนี้เรายังสามารถเห็นคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่คำนึงถึงความไม่ปลอดภัยในการ โดยสารรถยนต์โดยการนั่งโดยสารบนกระบะหลังบนทางหลวงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่นำเอาถังบรรจุน้ำแล้วออกมาวิ่งสดน้ำกันตามถนนซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการ เสียชีวิตเป็นจำนวนมากทุกๆปี
ในเรื่องการโดยสารบนกระบะหลังที่เปิดโล่ง ในประเทศเพื่อนบ้านของเราเช่น ฟิลปปินส์ เขามีกฎหมายที่เข็มงวดกันมานานแล้วและเขาปลูกฝังให้กับเด็กๆในประเทศของเขา โดยห้ามนั่งโดยสารบนกระบะที่เปิดโล่งโดยเด็ดขาด ผมว่าเขากล้าที่จะออกกฏหมายเรื่องนี้ออกมาและบังคับใช้อย่างเข้มงวดก็เพราะ รัฐบาลลของเขาคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของคนในประเทศของเขา

3 อยาก ให้รัฐได้โปรดยกเลิกการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อนที่แสนจะล้าหลัง และสุดแสนจะเชยแสนเชย เช่นการจัดเก็บภาษี สรรพสามิตในระบบปรับอากาศรถยนต์ และแบบเตอรี่ เพราะชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือยเลยแม้แต่น้อยแต่มันเป็นชิ้น ส่วนที่ความจำเป็นในรถยนต์ จริงๆ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าราชการสมัยใดหรือ ผู้แทนของเราคนใดเป็นคนคิดว่าระบบแอร์หรือแบตเตอรี่เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยจน ต้องเข้าไปจัดเก็บาษีสรรพสามิต สงสัยท่านเหล่านี้คงใช้รถยนต์ที่สตาร์ท ด้วยมือหมุนแล้วก็ไม่ต้องเปิดแอร์เพราะขับกันอยู่ในท้องนาอย่างเดียว

4 หาก จะพัฒนาประเทศเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์ เราควรคิดหาทางที่จะเพิ่มโทษสำหรับผู้ที่มีอาชีพในการโจรกรรมรถยนต์ให้สูง ขึ้นเพื่อเป็นการทำให้ผู้คนที่ต้องการซื้อรถอุ่นใจว่าหากมีใครที่กล้าที่จะ ขโมยรถเขาควรเสี่ยงกับโทษจำคุกมากกว่า 20ปี เพราะโทษที่มีอยู่ทุกวันนี้มันเบาจนคุ้มที่จะเสี่ยงเป็นโจรขโมยรถ

5 กำหนด ประเภทรถยนต์บรรทุกให้ชัดเจนเพื่อแยกแยะชนิดของรถบรรทุกและรถยนต์นั่งให้ ชัดเจนมากขึ้นไม่ควรให้เกิดช่องโหว ที่ทำให้เกิดการพัฒนารถยนต์แบบแหว่งๆกระท่อนกระแท่นแบบที่ผ่านมาในอดีต
แต่ การเปลี่ยนแปลง เหล่านี้ ก็คงต้องอาศัยความกล้าอย่างมากของรัฐบาลในการที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทับถมกันมานานและกระทบกับภาษีซึ่งเป็นรายได้ของรัฐบาล แตผมก็หวังว่าจากข้อมูลที่ได้นำเสนอมาสามารถที่จะไปสะกิดใจท่านผู้นำประเทศ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายให้หันมามองว่าหากเรามุ่งที่จะพัฒนาประเทศไทย ของเราให้เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในอาเซียน เราควรหันมามองปัจจัยที่ยังเป็นอุปสรรคในการพัฒนาหรือยังปิดกั้นตลาดใน ประเทศตัวเองอีกทั้งยังปิดกั้นการพัฒนาฝีมือในการผลิตรถยนต์ของคนไทย เพราะว่าไม่มีประเทศที่เป็นผู้นำด้านรถยนต์ประเทศไหนที่คนส่วนใหญ่ในประเทศ ของเขารู้จักแค่ปิครถปิคอัพ หรือมีไม่มีปัญญาที่จะซื้อรถที่เหมาะสมกับการใช้งานของตนเองจริงๆมาใช้เพราะ ติดอยู่ที่ภาษีที่ทำให้รถยนต์ถูกและแพงต่างกัน มากซึ่งไม่ใช่เกิดจากสมรรถนะ ชนิด หรือ ลักษณะ คุณภาพ ของรถยนต์แต่เลือกเพราะมันเสียภาษีถูกดี
ตัวผมเองยังมีความหวังว่าผม อาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ก่อนที่ประเทศไทยเราจะล้าหลังทางความคิด เกี่ยวกับการใช้รถยนต์หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านของเราไปมากกว่า นี้
เรียบเรียงโดย สมเกียรติ

Misubishi Lancer E-car รถที่เหมาะสำหรับมือใหม่

Mitsubishi ที่จะกล่าวถึงข้อนี้ คือ รุ่นยอดนิยม ที่เรียกว่า อีคาร์ (ปี 1992-1996) เป็นรถที่ขอแนะนำสำหรับ ผู้ที่จะเริ่มต้นขับรถมือสองคันแรก ด้วยราคาที่ต่ำ กว่ายี่ห้ออื่นๆในตลาด ในปีที่ผลิตเดียวกัน เมื่อเทียบกับ Toyota รุ่น 3 ห่วงหรือ ท้ายแตงโม ,Honda Civic โฉมเตารีด ที่บางคันทะลุไปกว่า 3แสนบาท แต่ อีคาร์ยังยืนหยัด ที่ราคาไม่เกิน 2แสนปลายๆรถที่จะขอแนะนำ ในที่นี้ จะเป็น รุ่น Lancer GLXI1.5 เกียร์อัตโนมัติ ปี96 หรือ รุ่นที่เรียกว่ากันชนใหญ่ ราคากลางอยู่ที่ 2.5แสน อาจจะขยับไปเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับสภาพ เครื่องยนต์ เป็นระบบหัวฉีด แบบ ECI-Multi รหัสเครื่องยนต์ 4G15 แบบ 12วาล์ว 90 แรงม้า แคมชาฟท์เดี่ยวพร้อม เกียร์อัตโนมัติแบบ 3 จังหวะ เน้นที่ความประหยัด สมรรถนะ ปานกลาง ไม่หวือหวามากระบบช่วงล่างหน้า เป็น แมคเฟอร์สัน สตรัท ด้านหลังเป็น อิสระ-Multi link ให้ความนุ่มนวล ดีทีเดียว สามารถทำความเร็วได้ สูงสุดที่ 145 Km/h และไม่มีอาการ สั่นเมื่อ ขับคนเดียวที่ความเร็ว100-120 Km/h โดยที่ระบบล้อทั้งสี่ เป็นแบบ แมก 3 ก้าน R13 มาตรฐานเดิมๆ จากโรงงานอัตราการกินน้ำมัน ต้องยอมรับว่า ประหยัดใช้ได้ ที่ทางไกล จะกินราวๆ 14-15 Km/literส่วนในเมือง ก็ราวๆ 9-12 Km/liter นับว่าคุ้มค่าทีเดียว แต่บางครั้งต้องยอมรับว่า สมรรถนะ ค่อนข้างอืด ถ้านั่งเต็ม 4 ที่นั่ง แต่เป็นเพราะ ระบบเกียร์อัตโนมัติที่ค่อนข้าง ไม่ทันใจมากกว่ามีบางท่านกล่าวว่า รถรุ่นนี้ จุกจิก อะไหล่แพงมาก ไม่น่าเล่น ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้วรถรุ่นนี้ ไม่ได้จุกจิกมากมายอะไร อาจจะเป็นเพราะ หาช่างรู้ใจยาก พอซ่อมไม่ถูกจุด แล้วไม่หายก็เลยเหมาว่าจุกจิก จริงๆแล้วในระบบเครื่องยนต์ตัวนี้ ตัวที่เป็นปัญหาที่สุด และมีไม่กี่จุดก็คือ ตัวชดเชยรอบเดินเบา ( Idle Speed Control) คือจำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นของใหม่ จากศูนย์เท่านั้น และ Sensor ในระบบ อีก 2-3 ตัว ซึ่งพังตามอายุการใช้งาน ที่ 5-8 ปีส่วนอะไหล่อื่นๆสามารถหาของเทียบ หรือ ของแท้ นอกศูนย์ยริการ แถววรจักร หรือ ของเซียงกงได้เลยราคาไม่แพงอย่างที่คิด เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองเพราะระบบเครื่องยนต์และเกียร์ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานที่รอบไม่สูงมากนักแต่ถ้าหาก เกิดเบื่อขึ้นมา อยากได้ สมรรถนะที่หวือหวา จัดจ้าน รถรุ่นนี้ได้ใช้ พื้นฐานการผลิตเดียวกันกับ รถแข่งตระกูล EVOLUTION I-III จึงสามารถเปลี่ยนเครื่องยนต์ ที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น ที่วางขายตามเชียงกง ได้เลยโดยไม่ต้องมีการดัดแปลงใดๆ โดยเครื่องยนต์มีให้เลือกหลายรุ่นหลายขนาด ทั้งเครื่อง 4G9x 1800cc , 4G6x 2000cc มีทั้ง ธรรดา และ Turbo และ รุ่น4G63T Turbo 240 แรงม้า Evolution ส่วนราคาค่าเครื่องพร้อมวาง ก็ตกราวๆ 5 หมื่น - 2 แสนบาทตามแต่รุ่น และ กำลังทรัพย์ของเจ้าของแต่ถ้าไม่คิดจะวางเครื่อง แต่ จะขยับขยายไป เล่น รถใหม่ หรือ มือสองยี่ห้ออื่นๆ ก็ไม่ผิดกติกาอันใด การขายต่อ ก็ยังนับว่าไม่ขาดทุนมาก เมื่อเทียบกับราคาที่ซื้อมา สามารถปล่อยที่ราคา 2แสนเศษๆ ได้สบายๆ ดังนั้น ด้วยทางเลือก ที่มีมากกว่า และ เหมาะสำหรับผู้ที่กำลัง มองหารถมือ2 คันแรก ด้วยงบที่ไม่สูงมาก เทียบกับความคุ้มค่า ได้รถที่ใหม่กว่า จึงเป็นรถรุ่นหนึ่ง ที่น่าสนใจทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Toyota Soluna รถครอบครัวยอดประหยัด


สำหรับ ผู้ที่กำลังมองหารถยนต์คันแรก หรือรถครอบครัวขนาดย่อม เน้นขับในเมือง ประหยัดน้ำมัน ซ่อมง่าย ปีใหม่ ราคาถูก โซลูน่าก็เป็นอีกทางเลือกนึงที่น่าสนใจมาก เพราะมีคุณสมบัติรถเมืองหรือซิตี้คาร์ครบถ้วน เดินทางไกลก็ได้ สภาพรถยังใหม่ๆในราคาที่มีให้เลือกตั้งแต่ 2 แสน-4 แสน จะน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนลองมาดูกัน

โซลูน่าตัวแรกเริ่มทำตลาดปี 1997 ใช้พื้นฐานของรุ่น Tercel ใน ญี่ปุ่น ด้วยราคารุ่นพื้นฐานเปิดตัวที่ 348,000 บาท นับเป็นราคาที่ถูกมาก ทำให้ขายดีมากทีเดียว รูปลักษณ์ภายนอกก็เรียบๆดูธรรมดา ยังมีสันเหลี่ยมเด่นชัดไฟหน้าทรงคางหมูและไฟเลี้ยวสีส้มตรงมุมบังโคลนรูปทรง ไม่หวือหวาอะไร กระจังหน้าทรงเรียบๆมีเส้นคาดสองเส้นแปะตราโตโยต้าเอาไว้ตรงกลาง กันชนดูไกลๆแล้วเหมือนของรุ่นสามห่วง ด้านท้ายตัดลงมาตรงๆแล้วไฟท้ายเป็นสี่เหลี่ยมคางหมูเอียงรับกับฝากระโปรง ดูโล้นๆแปลกตามากกว่าสวย ล้อแม็กสำหรับรุ่น 1.5 XLI เป็นล้อเหล็กเพียวๆแบบรถกระบะขนของ ส่วนรุ่นอื่นๆเป็นฝาครอบล้อ14นิ้ว โครงสร้างตัวถังแบบ GOA ใช้เหล็กกันสนิมแบบ Galvanized Steel ที่ โตโยต้าอ้างว่ากันสนิมได้ถึง 5 ปีผุกร่อน 10 ปี ทำตลาดต่อมาอีก 2 ปี ได้มีการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ด้านหน้าที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือกันชนทรงใหม่ดูดีขึ้น ปรับไฟหน้าเป็นแบบมัลติรีเฟล็กไฟเลี้ยวขาว กระจังหน้าทรงคล้ายๆเดิมปรับให้ดูลาดเอียงยิ่งขึ้น เปลี่ยนลวดลายเป็นซี่นอนดูน่ามองมากกว่าเดิม ด้านท้ายที่เด่นๆคือไฟท้ายแยกออกมาแปะไว้ที่ฝากระโปรง ไฟท้ายแบ่งออกเป็น 2 ช่องรูปวงรีคล้ายหยดน้ำ เป็นที่มาสำหรับฉายาโซลูน่าโฉมไฟท้ายหยดน้ำ ทำตลาดเรื่อยๆจนถึงปี 2002 ก็มีรุ่นใหม่ออกมา

ภายในของทั้งสองรุ่นนี้เหมือนกัน คอนโซลหน้าคล้ายๆรุ่นสามห่วง มาตรวัดมีครบ พวงมาลัยพาวเวอร์ 4 ก้านมีถุงลมให้เฉพาะรุ่นท็อป กระจกแบบ Jam protection เฉพาะ ฝั่งคนขับมีในรุ่นท็อป ภายในไม่กว้างขวางนัก นั่งได้ 4 คนพอดีๆ เบาะเป็นเบาะผ้า ช่วงรับแผ่นหลังดูจะตื้นไปนิดจึงนั่งไม่กระชับนัก เดินทางไกลก็เมื่อยหน่อย ช่วงหย่อนขาตื้นไปและช่วงวางขาก็สั้นไปสำหรับคนสูง 180 อย่างผม

เครื่องยนต์ใช้บล็อกเดียวกับโคโรล่า 1.5 ต่างกันตรงท่อไอดี แครงก์น้ำมันเครื่องและรายละเอียดเล็กน้อย จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด EFI ให้ กำลัง 95 แรงม้า ส่งผ่านเกียร์ธรรมดาหรือเกียร์ออโต้ 5 สปีดลงสู่ล้อหน้า ความเร็วสูงสุดประมาณ 160 กม/ชม อัตราการกินน้ำมันในเมืองอยู่ที่ 8-12 กม/ล นอกเมืองอยู่ที่ 11-15 กม/ล ช่วงล่างร่อนที่ความเร็ว 120 เนื่องจากตัวรถเบา ถ้าคนนั่งไปเยอะๆน่าจะลดอาการร่อนไปได้บ้าง(แต่จะเพิ่มอาการโยนแทน)เบรกดีพอ สมควรมี ABS ให้ในรุ่นท้ายๆ

ด้าน อะไหล่ก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะมีให้เลือกเต็มไปหมดทุกมุม มีครบทุกชิ้น ราคาไม่แพง มิหนำซ้ำยังมีชุดแต่งเอาไว้เสียเงินเพิ่มอีกมากมายต่างหาก เอารถไปจิ้มหัวเข้าอู่ไหนก็ได้ ซ่อมง่าย ข้อเสียคือตัวถังไม่แข็งแรงนัก ชนเบาะๆก็ยุบแล้ว ถุงลมคนขับก็มีให้เฉพาะรุ่นท็อปส่วนคนนั่งก็ต้องลุ้นเอาเอง การประกอบไม่ดีนัก(ก็จะเอาอะไรกับรถราคาเท่านี้) ช่วงล่างนุ่มแต่ไม่เกาะถนน ขับเร็วๆไม่ไหว จับโช้คและสปริงแข็งๆน่าจะช่วยได้บ้าง เวลาซื้อต้องดูสภาพตัวถัง เพราะรถคันนี้ส่วนใหญ่เจ้าของเก่าเป็นพวกมือใหม่หัดขับ ส่วนใหญ่ที่เจอมักจะไม่ชนมากก็ชนน้อย อันนี้ต้องทำใจ พยายามเลี่ยงรถที่ทำสีใหม่ นานๆทีจะเห็นรถผู้หญิงใช้น้อยหลุดออกมาคันนึง ควรดูรอยช้ำของตัวถังแล้วคำนวณค่าซ่อมไว้ประมาณหมื่นถึง 2 หมื่น เครื่องยนต์ต้องดี เกียร์เข้าง่ายไม่ติดไม่สะดุด เวลาเลี้ยวไม่ควรมีเสียงดังเอียดอาด

สรุป เจ้าโซลูน่าเหมาะสำหรับผู้ที่มีรถคันแรก รถแม่บ้าน รถครอบครัวเล็กๆเอาไว้ขับในเมืองเป็นส่วนใหญ่ ประหยัดน้ำมัน ขับง่าย อะไหล่เยอะ ซ่อมถูก ปีใหม่ แต่ตัวถังไม่ทนทาน ช่วงล่างไม่เหมาะที่จะออกต่างจังหวัดบ่อยๆครับ

ข้อมูลทางเทคนิคของโตโยต้า โซลูน่า

เครื่องยนต์ 5A-FE 4 สูบ DOHC 16V

ปริมาตรกระบอกสูบ 1,498 ซีซี

แรงม้า 95แรงม้า/5600รอบต่อนาที

แรงบิด 126Nm/4800รอบต่อนาที

ระบบจ่ายน้ำมัน หัวฉีด EFI

ระบบส่งกำลัง เกียร์อัตโนมัติ/ธรรมดา 5 สปีด

ระบบกันสะเทือน อิสระแมกเฟอสันสตรัท/ทอชั่นบีมและเหล็กกันโคลง

ระบบเบรก หน้า/หลัง ดิสก์/ดรัม

กว้าง-ยาว-สูง 1660-4175-1380

น้ำหนักรถ 935 กก.

ขนาดยาง 175/65R14

ความเร็วสูงสุด 160 กม/ชม

อัตราการกินน้ำมัน 9-15 โล/ลิตร

ISUZU ก็มีเก๋งนะจะบอกให้


อีซูซุ เวอร์เทคซ์ เป็นรถที่เกิดจากความร่วมมือของฮอนด้าที่ผลิตแต่รถเก๋ง กับอีซูซุที่ผลิตแต่รถกระบะ ทั้งสองค่ายจึงแลกเปลี่ยนรถมา rebadge เป็นรถของตัวเอง โดยฮอนด้าได้เอากระบะไปทำเป็น Honda Tourmaster แต่ ยอดขายน้อยมาก ส่วนอีซูซุได้เวอร์เทคซ์มาทำตลาด ด้วยราคาขายที่ไล่เลี่ยกับฮอนด้า ทำให้มียอดขายที่ไม่ดีนักแต่ก็ดีกว่ากระบะของฮอนด้า เวอร์เทคซ์เปิดตัวครั้งแรกปี 1996 โดยให้ดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังอย่าง ริชาร์ด เกียร์ มาเป็นพรีเซนเตอร์ แบ่งออกเป็นสองรุ่นคือรุ่น SและJ โดยSE/JEเป็นเกียร์ออโต้และSL/JLเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา จากนั้นปี 1999 ก็ปรับโฉมนิดหน่อยตัดรุ่นSออก ไป ทำตลาดอย่างเงียบๆจนถึงต้นปี 2003 ก็เลิกผลิตไป รถเหล่านี้จึงตกรุ่นกลายเป็นรถมือสองที่ราคาตกเอามากๆ เพราะไม่ใช่รถตลาด รถเกรดเดียวกับฮอนด้าแต่ราคามือสองถูกกว่าเป็นแสนทั้งๆที่ราคามือหนึ่งใกล้ เคียงกัน น่าสนใจหรือไม่ มาลองดูกัน

รูป ลักษณ์ภายนอกคล้ายกับฝาแฝดซีวิคถ้ามองเผินๆ แต่เมื่อมองกันเต็มๆจะพบว่าบางจุดก็แตกต่างไป ด้านหน้า ไฟหน้าทรงสี่เหลื่ยมคางหมูไม่เหมือนตาโต รับกับกระจังหน้าขนาดใหญ่ทรงเหลี่ยมรูปชาม ติดยี่ห้ออีซูซุไว้กลางกระจังหน้า กันชนมุมเหลี่ยมด้านล่างกันชนมีช่องดักลมขนาดเล็กและยาวกว่าซีวิคอยู่ พร้อมช่องเล็กๆข้างๆเอาไว้ใส่ไฟตัดหมอก ดูโดยรวมการออกแบบเหมือนสูตรสำเร็จของรถยุโรป รูปทรงดูเหลี่ยมกว่าซีวิคแต่ผมชอบเป็นการส่วนตัว ด้านข้างบังโคลนของใหม่เพื่อให้รับกับมุมไฟหน้า ชิ้นส่วนประตูกระจกต่างๆตั้งแต่เสา A ถึงเสา C เป็น ของซีวิคหมด ด้านท้ายเหมือนกับซีวิคมากๆยกเว้นไฟเลี้ยวขาวที่สร้างความแตกต่างเวลามอง ผ่านๆได้ ตรงกลางฝากระโปรงท้ายติดตราของเวอร์เทคซ์โดยเฉพาะ ล้อแม็กลายใหม่ขนาด 14 นิ้วทุกรุ่น

เข้า มาภายในแทบจะไม่แตกต่างจากซีวิคเลย สิ่งเดียวที่ยังบอกว่าเป็นอีซูซุอยู่ก็คงจะเป็นพวงมาลัยที่มีตราอีซูซุ มีถุงลมเฉพาะฝั่งคนขับ(ยกเว้นรุ่นSL) ภายในกว้างขวางดี เบาะเป็นผ้าแซมกำมะหยี่ ออพชั่นมีให้ไม่คับคั่งนักเอาแค่พอใช้ก็สะดวกสบายมือดี คอนโซลหน้ายกมาจากซีวิคเลย หน้าปัดเรียบๆแบ่งเป็นสามวง ซ้ายสุดเป็นวัดรอบ ตรงกลางเป็นความเร็ว ขวาเป็นวัดน้ำมันและความร้อน ส่วน pictograph กระจายอยู่ทั่วหน้าปัด

เครื่องยนต์บล็อกเดียวกับซีวิคมีวีเทคในรุ่นSL/SE/JE 1590 ซีซี 4สูบ SOHC 16V 120แรงม้า/6400รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 146 Nm ที่ 5500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ออโต้ 4 สปีดในรุ่นSEหรือ ธรรมดา 5 สปีด ลงสู่สองล้อหน้า ช่วงล่างอิสระ 4 ล้อ ดับเบิลวิชโบน โชคอัพแก๊สและเหล็กกันโคลง ดิสก์เบรก 4 ล้อพร้อมเอบีเอส(ยกเว้นรุ่นSL)

เท่า ที่เคยลองขับมาใช้งานในเมือง ไม่ค่อยรู้ฤทธิ์เดชของมันตอนความเร็วสูงๆ ในเมืองก็มีความคล่องตัวดี พวงมาลัยพาวเวอร์ฉับไวพออาศัยมุดในชั่วโมงเร่งด่วนได้ ต้องลากรอบเครื่องสูงๆหน่อยถึงจะได้แรงม้าเอามาใช้กัน คาดว่าสมรรถนะการขับนอกเมืองคงไม่ต่างจากอารมณ์ซีวิคมากนัก อัตราการกินน้ำมันอันนี้เจ้าของเล่ามา อยู่ที่ 7 กม./ล. ถ้าอัดสุดๆในเมือง และ 9-10 กม./ล.ถ้าขับเรื่อยๆ ช่วงล่างและเบรกดีทีเดียว ในรอบสูงๆเสียงเครื่องมีเข้ามาค่อนข้างมาก ความรู้สึกแทบไม่ต่างจากการขับซีวิคเลย

เรื่อง อะไหล่ เห็นเป็นรถยอดขายน้อยแบบนี้ อะไหล่มีแพร่หลายทีเดียวเพราะใช้ร่วมกับซีวิคได้ทั้งด้านนอกและด้านใน ยกเว้นด้านหน้ากับบังโคลนหน้าที่ใช้ร่วมกันไม่ได้ เจ้าชิ้นส่วนด้านหน้านี้จะสร้างลำบากแก่เจ้าของรถพอดู เพราะต้องเบิกจากห้างเอาซึ่งก็แพง ถ้าเดินหาตามวรจักรหรือเชียงกงแล้วคงจะเหนื่อยหน่อย ก่อนซื้อก็ควรดูสภาพตัวถังไม่น่าจะมีการทำสีมาสีเดิมของรถมี 4 สีคือ สีเงิน สีเขียว สีน้ำเงิน สีทอง เช็กช่วงล่างด้านหน้าให้สมบูรณ์ และเตรียมเงินเก็บงานหนักสัก 3 หมื่น

สรุปแล้ว Isuzu Vertex เป็น รถที่น่าสนใจคันหนึ่ง สมรรถนะ ห้องโดยสาร เหมือนขับฮอนด้าแต่ราคาถูกกว่า อะไหล่หาง่ายแต่ราคาไม่ถูกนักในบางชิ้น ราคาขายมือสองอยู่ที่ประมาณ 3 แสนในปี 96 ถึงประมาณ 4 แสนในปี 2002 โดยตัวรถที่ขายมีน้อย (แต่เห็นเต็นท์นึงจอดอยู่หลายคันเชียว) สภาพยังใหม่ๆอยู่ คู่แข่งก็มีเช่น นิสสัน ซันนี่, มาสด้า 323 ที่มีราคาและปีใกล้เคียงที่สุด ลองเก็บเวอร์เทคซ์กับไปพิจารณาอีกตัวเลือกนึง อย่ามองข้ามมันไปเชียวนะครับ

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Start Planning for the Future Today


One of the greatest financial worries of most American families has always been, will we have enough money to live comfortably during retirement? Families with children are also worried about whether they will be able to afford to send their kids to college

According to Trends in College Pricing -- a survey of over 3,200 U.S. post-secondary institutions conducted in 2002 -- when a child born in 2003 is ready for college, a four year degree at a public in-state institution will cost $83,169. Four year degrees at public out-of-state and private colleges will cost significantly more, $136,387 and $217,644 respectively. These figures account for a 5 percent college inflation rate.

After the shock from seeing those numbers for the first time wears off, parents start looking into their options, says John Walters, executive vice president for The Hartford's Investment Products Division. Some will choose to put away money in a savings account every month, others in CDs or mutual funds, but they're really doing themselves a disservice. All of those options are taxable investments and as a result, don't maximize earning potential?

If you're looking for a college savings plan where your money will grow tax deferred,(1) there are two options out there: the federal government authorized Coverdell Education Savings Account and the 529 College Savings Plans, sponsored by each of the 50 states and certain private institutions.

Coverdell accounts allow you to put away up to $2,000 per year per beneficiary for education related expenses, but they are very limiting. You can have more than one Coverdell set up, but have to keep track of how much you put into each account per year. If you exceed the $2,000 maximum for all accounts, you will face tax consequences; and you can only contribute until the beneficiary is 18.

People who invest in 529 plans have more flexibility. The plans can be opened for anyone considering going to college, including children, relatives and parents. You can even set up an account for yourself. These college savings plans usually require only modest amounts to open; and you can add any sum up to the maximum that each plan authorized. Furthermore, you can gift up to $55,000 to a beneficiary once every 5 years without incurring a federal gift tax. (2)

All 50 states have passed legislation authorizing 529 plans, and most have a college savings plan and/or prepaid plan in operation. The nice thing about 529s is you don't have to live in or go to school in the state that is sponsoring your plan, says Walters.

Hartford Life Insurance Company administers the SMART529 plans offered by the state of West Virginia. Thousands of people from all 50 states have enrolled in SMART529. The plan offers investors access to dozens of investment options, including individual fund options, static portfolios and age-based portfolios. It also offers net asset value transfers, meaning transfers from other 529 plans or Coverdell accounts can be made without an upfront sales charge.

For more information about SMART529 products, visit your financial advisor. If you want to get a better idea of how much college will cost when your child is ready to go, there's an online calculator on the Hartford Investor's Web site. Log onto www.hartfordinvestor.com. Under Education Center? on the left hand side of your screen, click on the link that says calculators, then scroll down to the link that says SMART 529 college savings calculator.

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ซื้อรถมือสองมาแล้ว…อย่าเพิ่งขับอ่านเรื่องนี้ก่อน (ตอนจบ)


คราวที่แล้วว่ากันแต่ช่วงบน มาตอนนี้มาดูส่วนสำคัญกันบ้าง เพราะเครื่องจะติดไม่ติดก็อยู่ส่วนนี้ละ ดังนั้นจึงต้องใช้ความรู้พื้นฐานด้านเครื่องยนต์กลไกนิดๆ ช่างสังเกตหน่อย และความละเอียดถี่ถ้วน เพียงเท่านี้ บางทีหากอาการไม่สาหัสจริงก็คงไม่ต้องส่งถึงมือช่าง ได้ประสบการณ์ความรู้ และประหยัดเงิน เผลอๆอาจจะเป็นกูรู ในระบบรถรุ่นนี้ไปเลยก็ได้ใครจะไปรู้
3.มาดูที่ห้องเครื่อง ตรวจอะไรที่มันยุ่งๆแล้วจัดระเบียบใหม่อีกที
อันดับแรกลองตรวจดูที่สายพานไดชาร์จ สายพานแอร์ สายหัวเทียน หัวเทียน ให้ช่างคนที่เปลี่ยนกรองเบนซิน คนเดิมนั่นแหละดูให้ (แนะนำว่าควรตีซี้ไว้เป็นช่างประจำรถเลย) เพราะหากเป็นช่างคนเดิมจะดีตรงที่เขาจะรู้ว่าทำอะไรที่ไหนไปบ้าง หากเกิดอาการรวนๆจะได้ไม่ต้องเดาสุ่ม สามารถวิเคราะห์แก้ไขอาการได้อย่างต่อเนื่อง และยังได้ความรู้เชิงช่างและมิตรภาพด้วย เผลอๆอาการเล็กๆน้อยๆ ช่างจะได้ไม่คิดเงินไงละครับ
คิดดูว่าเปลี่ยนกรองเบนซินอันเดียวได้ประโยชน์มากมาย หากสายพานอันไหนเก่าหมดสภาพแล้วเปลี่ยนซะมีราคาไม่ถึงร้อยถึงร้อยกว่าบาท ถ้ากลัวว่าช่างจะฟันราคาก็ซื้อติดมือไปให้ช่างเขาเปลี่ยนให้จะได้จ่ายแค่ค่าแรงประหยัดไปอีกชั้น สายหัวเทียนเก่าไปมั๊ย หากเก่ายุ่ยมากๆ ขาดแล้วพันๆเทปมาละก็เปลี่ยนไปเลยอย่าเสียดายเดี๋ยวจะเสียมากกว่าเดิม ให้เค้าเช็คหัวเทียนด้วยเพียงแต่เอามาล้างปรับเขี้ยวก็พอใช้ได้อีกนาน หัวเทียนไม่ใช่ของเสียง่าย หมดอายุการใช้งานราวๆประมาณ 20,000 กม.
(2000 ชม.) หากเจอช่างที่ดี แต่ถ้าเยินจริงๆเปลี่ยนก็ได้เพราะราคาถูกมากๆ ที่จะช่วยยืดอายุหัวเทียนได้อีกอย่างคือน้ำมันอเนกประสงค์ครับ ติดรถไว้ก็ดีไว้ฉีดพวกขั้วแบตฯ ขั้วหัวเทียน จานจ่าย(ถ้าไม่รู้จักว่าอันไหนไปถามช่างคนเดิมอีกนั่นแหละ) เวลาเก็บอย่าเอาไปไว้ที่ร้อน เกิดตูมตามขึ้นมาไม่รู้ด้วย
4.คราวนี้มาดูที่ช่วงล่างกันบ้าง
ถ่วงล้อ อัน นั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่หลายคนมองข้ามเพราะเมื่อเราใช้ความเร็ว สูงขึ้นหน่อยรถกลับสั่นๆ อาจนึกไปถึงช่วงล่างอื่นๆ แต่ความจริงปัญหามันแค่เพียงถ่วงล้อเท่านั้นเอง ผมแนะให้ไปถ่วงล้อที่เรียกว่า “ถ่วงจี้” เพราะเท่าที่ทำมาได้ผลดีพอสมควร ดีกว่าการถอดล้อไปถ่วงข้างนอก
สังเกตด้วยว่าบางครั้งน็อตล้อเราอาจเป็นคนละแบบทำให้การถอดล้อไปถ่วงไม่แม่นยำแต่ ถ้าให้ดีก็เปลี่ยนน็อตให้มันเหมือนกันให้หมดเลยจะดีกว่า ก่อนถ่วงบอกให้ช่างแกะหินที่ติดล้อออกให้ด้วยนี่ก็เป็นผลให้การถ่วงล้อไม่แม่นยำ แนะให้ไปถ่วงหลังไปล้างรถจากปั้มใหม่ เพราะโคลนที่ติดล้อก็เป็นอีกปัจจัยนึงเช่นกัน เคยแนะให้รุ่นน้องที่มีปัญหาที่ว่าไปถ่วงจี้มาหลายคนส่วนใหญ่จะบอกว่ายังกับได้รถใหม่มาแน่ะ
ยางรถ ดูว่าดอกยางยังเต็มๆดีหรือไม่ ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเปลี่ยนถามจากร้านยางดูก็ดีถ้า ร้านที่ดี(ไม่เห็นแก่ยอดขาย)บ่อยครั้งเค้าจะ บอกว่าใช้ได้อีกนานแต่ถ้าเค้าบอกว่าเปลี่ยนเถอะให้สังเกตว่าดอกยางเรายัง เต็ม ยางยังไม่เสียรูป แก้มยางยังสวย เนื้อยางยังสดอยู่หรือไม่ ไม่แนะนำให้ไปทำตามปั้มแต่ก็ตามใจหากใครอยากลองดู การเติมลม ควรเติมซัก 27-28 หากอยากได้ความนิ่มนวล และ 30 หากต้องการประหยัดน้ำมันได้อีกนิดหน่อยในการวิ่งแบบรถไม่ติด อย่าลืมเติมลมยางอะไหล่ด้วยแนะให้เติมเกินปกติไว้ 2 ปอนด์ (ประมาณ 32 ปอนด์) เพราะไม่ได้เติมบ่อยๆ แนะอีกนั้นแหละให้ไปเติมที่ปั้มเจ็ทเพราะเครื่องวัดแบบดิจิตัลค่อนข้างแม่นยำกว่าร้านยางซะอีกและอย่าลืมอุดหนุนเค้าบ้างก็ดี
เช็คช่วงล่าง ไปอู่ที่รับทำช่วงล่างให้เค้ายกรถตรวจพวก ยางหุ้มแร็คช่วงล่างอื่นๆ เพราะบางครั้งเปื่อยๆแล้วเปลี่ยนไปเลยราคาไม่ถึง 300-400 บาท ถ้าขาดขึ้นมาแต่เราไม่รู้จะลำบาก ทั้งทรายทั้งโคลนหลุดเข้าไปละก็เสียมากกว่านี้อีกมาก ให้ช่างตรวจลูกหมาก-คันชัก-คันส่ง-ปีกนก โยกๆแล้วหลวมๆหรือไม่
แต่พวกนี้ถ้าไม่หลวมมากเอาไว้ตอนได้โบนัสออกหรือกู้สหกรณ์ได้ก่อนค่อยมาเปลี่ยนก็ได้ หากยังพอใช้ได้
5.มาดูภายในรถกันบ้าง
หากรถมีกลิ่น แนะนำว่าให้เราจอดรถตากแดดหมุนกระจกลงมาเล็กน้อยทำซ้ำๆหลายวันช่วยได้บ้าง อยากจะแนะนำวิธีการแบบประหยัดและได้ผล นั่นก็คืดใช้ถ่านหุงข้าวนี่แหละเอามาพอประมาณ ห่อด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์เก่าแล้ววางซุกๆไว้ในที่มุมอับๆ เพราะถ่านหุงข้าวจะช่วยดูดกลิ่นอับได้ดีมาก และอยากให้หอมอ่อนๆ แบบธรรมชาติใช้ใบเตยหอมทั้งใบซักกำแล้วหักพับอย่าให้เกะกะ หาที่ซุกตามใต้เบาะที่นั่ง อยากให้หอมเร็วๆมากๆหน่อย ก็ใช้ 2-3 กำ เพียงเท่านี้ก็หอมแบบสปาแล้วและก็จะดีสำหรับผู้ที่แพ้กลิ่นน้ำหอมด้วย รับรองว่าไม่เกินสัปดาห์ รถคุณจะหอมใหม่ไม่มีกลิ่นกวนใจให้เสียอารมณ์เลย วิธีนี้ต้องยกความดีให้แม่บ้านครับเพราะแพ้น้ำหอม เลยใช้วิธีนี้ทั้งดีและประหยัดครับ และที่สำคัญอย่าสูบบุหรี่ในรถเพราะควันบุหรี่ จะจับกับเบาะกำมะหยี่ คงสภาพกลิ่นนานยิ่งนานๆยิ่งเหม็นมา เหมือนที่เขี่ยบุหรี่เลยละ ยางรองพื้น บางทีเต็นท์ให้มาเฉพาะยางแผ่นเล็กทำให้ทรายกระจายฝังในพรม แนะ ให้ใช้ยางที่เป็นรูปแอ่งๆ ไม่สวยนักแต่สะอาดอย่าบอกใครไม่มีทรายกระเด็นออกด้วยหรือถ้ากำลังทรัพย์มีก็ เอาแบบที่มีขายตามห้างที่มีเฉพาะรุ่นก็ได้ น้ำยาต่างๆ หาซื้อน้ำยาต่างๆเช่นแชมพูล้างรถ ยาขัดเบาะ ยาขัดสีรถ แนะนำว่าเพื่อความประหยัดควรล้างเองจะได้มั่นใจว่าสะอาดและได้รู้จุดอ่อนของตัวถัง-สีรถเราเอง เสียงดังหน้าคอนโซล อันนี้สืบเนื่องาจากรถใช้มาหลายปีเกิดจากการเคยถูกถอดคอนโซล ใส่กล้บเข้าไปไม่สนิทหรืออาจหลวม บางทีพลาสติกเสื่อมสภาพ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รู้รำคาญ หรือประสาทเสียเพราะกังวล ขับรถไม่สนุก แต่การหาจุดนี่ยากที่สุดพวกนี้ต้องค่อยๆหาแล้วหาซื้อตัวยึดพลาสติกตามวรจักรมาใส่แทนได้หากของเก่าแตกหรือหลวมหรือไม่มีเลย
6.สังเกตกันนิด
ซื้อรถมาวันแรกผมแนะนำให้ล้างเลยไปให้โดนน้ำฉีดแรงๆ ตามคาร์แคร์ ถึงแม้เต็นท์จะขัดสีรถมาสวยงามสักปานใด เพราะรถหลายคันพึ่งไปสาดสีมาทั้งคัน การประกอบขอบยางกันน้ำซีลซิลิโคนประตูและกระจกหน้า-หลังต่างๆ อาจ ทำมาไม่ดีพอเพราะทำเอง ในอู่สีไม่ได้ทำที่ร้านกระจกที่ชำนาญกว่าบ่อยครั้งที่ น้ำไหลเข้ารถเป็นถังๆ เวลาฝนตกจะได้รีบซ่อมเองหรือให้เต็นท์ทำให้หากตกลงกันไว้แล้ว
แอร์ หากได้ยินเสียงแต็กๆ ดังติดๆกันขณะเปิดแอร์ทำให้รอบเครื่องเราขึ้นๆลงๆ ให้ช่างเช็คดูช่างที่เก่งๆ จะยังไม่วิ่งไปดูที่คอมแอร์ แต่จะตรวจที่ตัวปรับระดับความเย็นที่ภาษาช่างแอร์เรียกรางเลื่อน (Slice volume) เพราะรถเก่าแล้วพวกนี้จะสึกรึหมดอายุเปลี่ยนซะราคา 300-400 บางทีไม่ถึงกับต้องไปยุ่งกับคลัชแอร์หรอกครับ ร้านทำแอร์ผมชอบร้านที่แท็กซี่เค้าชอบไปทำกันเพราะราคาไม่แพงคุยกันได้ แต่ไม่ใช่ร้านที่แท็กซี่ไม่เข้าไม่ดีนะครับ อย่าง ผมใช้ทั้งสองร้านเพราะที่เจอความชำนาญร้านอาแปะของผมเนี่ยเก่งเข้าขั้นเลยที เดียวแต่ราคาเอาเรื่องเหมือนกันเวลาเข้าซ่อมถามไว้เลยว่าเท่าไหร่ ต่อไปเถอะลดได้นิดหน่อยดีกว่าไม่ลดเลย ซ่อมบ่อยๆ ชำนาญขึ้นเดี๋ยวก็รู้ราคาไปเอง
ตรวจดูหลอดไฟรถ ไฟหน้าสูง-ต่ำ ไฟหรี่ ไฟท้าย-ไฟเบรก ไฟกระพริบซ้ายขวา ไฟถอย ไฟทะเบียน ติดครบหรือไม่จัดการให้เรียบร้อยสมบูรณ์ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ และการตรวสภาพรถของกรมการขนส่งทางบก หากไฟเหล่านี้ไม่พร้อมเขาไม่ให้ผ่านแน่นอน หากมีอะไรนอกเหนือจากนี้ต้องเช็คต้องเปลี่ยนคงต้องอาศัยการเอาใจใส่ และความช่างสังเกตจากตัวคุณเอง ย้ำต้องดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ใช่แค่เพียงช่วงแรกๆเท่านั้น หมั่นหาความรู้เสมอๆควรให้คนในครอบครัวมีส่วนร่วมด้วย สร้างความสัมพันธ์กันโดยมีรถเป็นสื่อนี่ก็ถือว่ารถไม่ใช่แค่เพียงเป็นพาหนะอย่างเดียวใช่มั้ยละครับ มาถึงบรรทัดนี้ขอเรียนว่าการใช้รถเก่า รถมือสอง ไม่ใช่เป็นเรื่องน่าอาย เสียหายอะไร แต่กลับเป็นเรื่องที่ดีที่คุณช่วยประหยัดเงินให้ประเทศชาติ และตัวคุณเอง คนขับรถใหม่อาจจะสบายใจว่ารถพร้อมใช้งาน แต่ดอกเบี้ยและค่างวดในแต่ละเดือนทำเอาเหงื่อตกได้เหมือนกัน ถึงแม้ว่าแอร์รถใหม่จะเย็นจัดก็เถอะ และที่สำคัญรถที่เก่ามากๆหากดูแลให้มีความสมบูรณ์พร้อม ย่อมมีคุณค่าและราคามากในสายตาของนักเล่น นักสะสมรถเก่า ดีๆไม่ดีหากถูกตาต้องใจนักสะสมเข้าราคาอาจเพิ่มเป็นเท่าตัวมากกว่าตอนซื้อมาอีกนะครับจะบอกให้

ซื้อรถมือสองมาแล้ว…อย่าเพิ่งขับอ่านเรื่องนี้ก่อน (ตอนที่ 1)

แน่นอนกว่าที่คุณจะเก็บหอมรอมริบได้เงินครบจะไปดาวน์รึซื้อสดรถคันโปรดที่คุณเฝ้ารอคอยก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นข้อแนะนำในการบริหารเงินที่จะใช้ซื้อรถมือสอง คือคุณต้องพยายามต่อรองราคาให้ลดลงมาให้มากที่สุด เพื่อจะได้เก็บเงินส่วนต่างนี้ไปใช้ในการตรวจเช็คสภาพอย่างละเอียดถึ่ถ้วนเรียกว่าลงทุนครั้งเดียวใช้ได้อีกนานกว่าจะซ่อม หากไม่ทำอย่างนั้นก็ได้ เพราะเป็นสิทธิของท่าน แต่บอกก่อนนะครับว่า รถเก่ามันเหมือนคนแก่นั่นแหละหากดูแลไม่ดี ก็จะมีอาการจุกจิกตามมาเสียเวลาเสียเงินแบบยุบยับ ดังนั้นไหนๆ ก็ต้องจ่ายซื้อรถอยู่แล้วก็เพิ่มเติมอีกนิดหน่อยเพื่อตรวจเช็คสภาพปรับเปลี่ยนรีเซ็ทกันใหม่ให้มีความพร้อมก่อนขับจะได้สบายใจไม่ต้องลุ้น ดังนั้นเมื่อซื้อมาแล้วแนะนำว่าอย่าเพิ่งขับ ใจเย็นๆ ได้ขับแน่นอน แต่เมื่อไม่ขับแล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปละ สำหรับเจ้าของรถมือใหม่(แต่)รถไม่ใหม่นั้น ควรต้องทำสิ่งต่างๆ ก่อนที่จะนำไปใช้งานดังต่อไปนี้ครับ อันดับแรกคือ
1.ต้องทำความรู้จัก กับรถที่คุณซื้อมาก่อนว่า รุ่นอะไร ปีไหน
เชื่อเหลือเกินว่าต้องมีบ่อยครั้งที่ท่านไปซื้ออะไหล่รถเอง ถ้าไม่รู้ชื่อยี่ห้อและรุ่นต้องเกิดปัญหาแน่นอน คือไม่เจอ หรืออาจจะผิดรุ่นใช้ไม่ได้ อย่างเช่น รถชื่อรุ่นเดียวกันแต่อาจใช้เครื่องยนต์ต่างกันก็มีไม่น้อย เรื่องอย่างนี้ถือเป็นเรื่องหญ้าปากคอกที่ทำให้เจ้าของรถที่เรียกตัวเองว่าเซียนเหงื่อแตกมาหลายคนแล้ว เวลาไปซื้ออะไหล่รถที่ตัวเองขับอยู่ทุกวัน ผมเจอมาแล้ววิ่งไปมาระหว่างอู่กับร้านอยู่หลายตลบ ทางที่ดีเอาแบบช่างลูกทุ่งชัวร์ๆ เลย(ถ้าชิ้นไม่ใหญ่เกินไป) เอาไปเป็นตัวอย่างด้วยจะได้ชัดเจนแน่นอน
ประการต่อมาขนาดเครื่องยนต์ จำนวนซีซี จำนวนวาวล์เท่าไร ชื่อบล็อกของเครื่องยนต์ เช่นยี่ห้อมิตซูบิชิ-แลนเซอร์ บล็อก 4G63 ตัวเลขเพียงไม่กี่ตัวกลับบอกความแตกต่างของรุ่นได้มากมาย ถ้าไม่รู้เปิดฝากระโปรงรถดูส่วนใหญ่จะมีเขียนรายละเอียดเอาไว้ บางคนอาจเถียงว่าดูจากคู่มือรถก็รู้ แต่ในความเป็นจริงก็ทราบกันดีว่าคู่มือการใช้รถนั้นน้อยนักที่จะตกมาถึงมือของเจ้าของรถมือสองมือสามอย่างเราๆ ถึงมีก็อาจจะมีการเปลี่ยนเครื่องยนต์มาแล้วก็เป็นได้ จุดวัดระดับน้ำมัน-น้ำยาต่างๆ คุณต้องรู้ว่าอันไหนเป็นจุดวัดระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ น้ำมันเบรก น้ำยาแอร์ หม้อน้ำรถ หม้อพักน้ำ น้ำฉีดกระจก น้ำกลั่นแบตเตอรี่ ฯลฯ อย่างน้อยเราต้องรู้ว่าจะวัดระดับตรงไหนอย่างไร บางคนซื้อรถมือสองมาใหม่คุยเรื่องระบบต่างๆของรถราวกับท่องมาซะยืดยาว แต่เปิดฝากระโปรงรถดู กลับไม่รู้ว่าดูระดับน้ำมันเครื่องตรงไหนกันแน่อันนี้อาการหนักจริงๆ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้คือ ดูระดับน้ำมันเครื่องตรงไหน Max – Min เติมน้ำหม้อน้ำตรงไหน ควรเติมในหม้อพักและไม่ให้มากไปนักที่สำคัญควรเปิดน้ำที่หม้อน้ำดูด้วยว่าเต็มหรือไม่ที่สำคัญต้องไม่ทำตอนเครื่องร้อนอันตราย ทั้งจากพัดลมและความร้อนของหม้อน้ำ ดูระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ ต้องเปิดดูทุกช่องเติมไม่ต้องล้นเพียงแต่เติมให้พอดีกับพลาสติคที่เป็นลิ้นลงไปในช่องก็เพียงพอแล้ว ห้ามเติมจนล้นมิฉะนั้น แบตเตอร์รี่อาจเจ๊งก่อนวัยอันควร ดูระดับน้ำฉีดกระจก ถ้าแห้งจะทำให้ปั้มฉีดน้ำเสียหายได้ อันนี้บอกให้ลูกๆมาช่วยเติมได้ ไม่มี ลิมิตอย่างมาก็แค่ล้นไม่อันตราย จากนั้นดูระดับน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ บางรุ่นไม่ต้องเปิดฝาก็รู้สามารถดูได้จากข้างกระปุกมีขีดบอกระดับ มีคำเตือนเล็กน้อยอยู่บริเวณฝาอ่านบ้างก็ดีว่าเขามีคำแนะนำว่าอย่างไรจะได้เป็นความรู้ ดูระดับน้ำมันเบรก บางครั้งไม่ต้องถึงกับเปิดฝามาดูเพราะมีขีดบอกสามารถมองเห็นจากภายนอกเช่นกัน ถัดมาดูระดับน้ำยาแอร์ ดูจากกระปุกพักน้ำยาแอร์สังเกตกระปุกที่มีท่ออะลูมีเนียมรึทองแดงต่อเข้านั้นแหละมีเลนซ์ สังเกต ถ้าน้ำยาแอร์เต็มเราจะไม่เห็นว่ามีอะไรในเลนซ์นั้นเลยแต่ถ้าเมื่อไหร่เห็นในเลนซ์นั้นมีน้ำวิ่งๆเมื่อไหร่ อย่าคิดว่าน้ำยาแอร์เต็มนะครับนั้นคือน้ำยาแอร์หมดแล้วละครับ ไปร้านแอร์ให้ตรวจเช็คเลยโดยด่วน ก่อนที่จะลามไปถึงคอมเพรสเซอร์ (หลายกะตังส์) และที่สำคัญท่านจะได้ไม่ร้อนเวลาขับรถครับ
2.เปลี่ยนซะให้เรียบ
อันดับแรกคือน้ำมันเครื่องและใส้กรองน้ำมันเครื่อง บ่อยครั้ง(เกือบทุกครั้ง)รถจากเต็นท์นั้นเค้าไม่ได้เปลี่ยนน้ำมันเครื่องมาให้ บางครั้งพึ่งเปลี่ยนมาถือว่าเป็นโชคดีไป แต่ ถ้าให้ดีถ้าเราดึงสายวัดออกมาแล้วน้ำมันเครื่องเหนียวๆ ไม่หยดติ๋งๆ เปลี่ยนไปเถอะครับเพื่อความสบายใจ ถ้าเปลี่ยนแล้วขับรถกลับบ้านมาดึงเข็มวัดออกมาเห็นน้ำมันเครื่องทำไมขุ่นซะแล้วให้คุณดีใจไว้เลยว่าน้ำมันเครื่องนั้นดีเพราะสามารถดึงเขม่าที่จับกับ ชิ้นส่วนในเครื่องออกมาได้เป็นอย่างดี รวมถึงเปลี่ยนใส้กรองน้ำมันเครื่องด้วยไม่แนะนำไปใช้ใส้กรองจากปั้มเพราะ สมัยนี้ใส้กรองของเทียมมีเยอะอายุการใช้งานสั้นกว่า (ไม่ใช่ว่าใช้ไม่ได้) ใครรักรถมาก (กว่าเมีย)แนะให้ใช้ของแท้แต่ผมชอบใช้ของเทียมเพราะมีคุณภาพพอๆกันและอาจดีกว่าด้วยซ้ำไป ว่างๆผ่านไปแถววรจักรก็ไปซื้อซะ ถือว่าเป็นการหัดทำความรู้จักกับร้านอะไหล่ไว้ ดูด้วยว่าต้องแถมแหวนยางโอริงมาด้วยแต่อย่าไปคิดว่าเอามาใช้กับกรองน้ำมันเครื่องล่ะ โอริงนี้ไว้ใช้กับน็อตที่เป็นก๊อกปิด-เปิดอ่างน้ำมันเครื่องของเราต่างหาก เวลาให้ช่างใส่ดูกับเค้าด้วย ก่อนใส่แนะว่าให้เอาน้ำมันเครื่องเรานี่แหละทาขอบยางของกระปุกกรองด้วยกันยางเบี้ยวออกมาเวลาขันเข้า ต่อมาใส้กรองอากาศ หากสภาพยังดีไม่มีรอยขาดยุ่ย ก็ถือว่ายังใช้งานได้ แต่ต้องใช้ลมเป่าทำความสะอาดซักหน่อย เพื่อจะได้ไม่มีฝุ่นผงอุดตัน ส่งผลให้เครื่องยนต์กลไกทำงานได้สมบูรณ์ขึ้น หากจะเป่าเองตามปั๊ม แนะให้ใช้บริการที่ปั้มเจ็ทที่มีที่เป่าอากาศตรงที่เราเติมลม มีหลายคนขับรถมาจนแก่เป่าอากาศยังไม่เป็น การเป่ากรองอากาศต้องเป่าจากในออกนอก ห้ามเป่าจากข้างนอกเข้าในเด็ดขาด ถึงแม้เป่าแล้วฝุ่นกระจายดีแต่นั้นคือการทำให้กรองอากาศของเราตันไปเลย แต่ถ้าเก่าแล้วเปลี่ยนไปเลยไม่ได้แพงอะไรนัก สำหรับมือใหม่ระวังจะถอดไม่เป็นให้สังเกตสลักยึดให้ดี ดึงออกให้ครบไม่ต้องออกแรงมากนักพอประมาณเดี๋ยวพวกสายอากาศจะหลุดแล้วใส่กลับไม่ถูกจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
หากรถคุณเป้นเครื่องยนต์เบนซิน ขอแนะนำว่าต้องเปลี่ยนใส้กรองเบนซิน ราคาไม่กี่ตังค์ เพื่อผลทางด้านกำลังรถ จะได้ไม่ต้องบ่นว่ารถเร่งไม่ขึ้น กระตุกเป็นช่วงๆ แต่อันนี้แนะนำไปให้ช่างเปลี่ยนให้ อย่าลืมถามความรู้เล็กๆน้อยๆจากช่างด้วย(แบบเนียนๆชวนคุยไปเรื่อยๆ) ยังมีอีกหลายจุด ที่แนะนำมายังอยู่แค่ช่วงบน ยังไม่ถึงช่วงล่าง ในตอนหน้าจะมาว่าต่อเรื่องช่วงล่าง เครื่องยนต์ และไฟฟ้ารถยนต์ ตอนนี้ขอพักก่อนครับแล้วเจอกัน....

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คอมมอลเรลคืออะไร (commonrel)


ระบบ คอมมอลเรล เป็นชื่อเรียก ของระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหนึ่งของเครื่องยนต์ดีเซล จริงๆ แล้วก็คือ ระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง แต่เพราะเดิมเครื่องยนต์ดีเซลก็เป็นระบบหัวฉีดทุกตัวอยู่แล้ว ซึ่งเป็นแบบกลไก ถ้าจะเรียกระบบใหม่โดยมีคำว่าหัวฉีด (INJECTION) ผสมอยู่ด้วย ก็คงกลัวว่าจะเกิดความสับสนหรือไม่รู้สึกว่าใหม่จริง จึงนำจุดเด่นเรื่องการมีรางน้ำมันแรงดันสูงร่วมกันมาตั้งเป็นชื่อเรียก คอมมอนเรล เป็นชื่อเรียกระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบเดียวกับ คาร์บูเรเตอร์ หัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ หัวฉีดกลไก หัวฉีดเคเจททรอนิกส์ (ในเบนซ์รุ่นเก่าๆ) ไม่ได้เป็นชื่อของเครื่องยนต์ และไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธ์ในชื่อนี้แต่อย่างไร เป็นชื่อเรียกกลางๆ ของระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ของเครื่องยนต์ดีเซล แบบมีรางน้ำมันแรงดันสูงร่วมกันเท่านั้น (คอมมอน=ร่วม เรล=ราง) เหมือนๆ กับเรียกว่า เครื่องยนต์เบนซินคาร์บูเรเตอร์, เครื่องยนต์เบนซินหัวฉีด, เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดกลไก, เครื่องยนต์ดีเซลหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ (คอมมอนเรล) ดังนั้นจึงไม่มีบริษัทรถยนต์รายใดเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในชื่อนี้ ปัจจุบันรถปิกอัพที่มีในประเทศไทยที่ใช้ระบบคอมมอนเรล ยังด้อยกว่ารถเก๋งในยุโรปนับสิบรุ่นที่มีระบบการทำงานเหนือกว่า และผ่านไอเสียยูโร สเต็ป 4 ดังนั้นถ้ารถปิกอัพในไทยเป็นซูเปอร์คอมมอนเรล รถเก๋งในยุโรปเหล่านั้นก็ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาเรียก และไม่พบว่ามีรายใดใช้คำว่าซูเปอร์นำหน้า ถ้ามีก็เข้าข่ายโฆษณาเกินจริง การใช้คำว่าซูเปอร์คอมมอนเรล เป็นลูกเล่นในการโฆษณาสร้างความรู้สึกให้เหนือกว่าเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับทางวิศวกรรมเลย ผู้ผลิตอุปกรณ์และระบบคอมมอนเรลในปัจจุบันมีไม่กี่รายในโลก เช่น บ็อช, นิปปอน เดนโซ, เดลฟาย, ซีเมนส์ ฯลฯ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่คนไทยมีโอกาสได้ใช้รถปิกอัพเครื่องยนต์คอมมอนเรล แม้จะทยอยเปลี่ยนกันอย่างช้าๆ ก็ตามทีบางยี่ห้อออกมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์ และหวังผลทางการตลาด และราคา แต่รุ่นที่ขายดีจริงๆ ยังขายรุ่นเก่าอยู่ แต่ก็นับว่าเป็นโอกาสดีของคนไทย ที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ทางด้านวิศวกรรมยานยนต์ ในรถยนต์ทุกยี่ห้อไปในทางที่ดีขึ้น เรามาดูกันว่ามีค่ายใดที่เขาพัฒนาระบบนี้บ้าง และมีสมรรถนะอย่างไร เผื่อว่าท่านที่กำลังมองหารถไว้ใช้สักคันจะได้มีข้อมูลเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจเลือกครับ

เจ้าแรกที่นำคอมมอลเรลใช้คือ อีซูซุ TRUPER ถัดมามีรุ่นใหม่คือ d-max 2.5-3.0 ddi-i-tec ไปดูข้อมูลกัน
3.0 ddi-i-tec เป็นซูเปอร์คอมมอนเรล 3000 ดีดีไอ สายพันธ์แท้! จากอีซูซุ เครื่องยนต์รุ่นใหม่หมด รุ่น 4JJ1-TC เทคโนโลยีล่าสุด ล้ำยุคสุดว่ากันอย่างนั้น ข้อมูลที่เจ้าของค่ายนี้เขาบรรยายเกี่ยวกับ สมรรถนะว่าเป็นยอดสมรรถนะแรงสุด...เร็วสุด...ประหยัดน้ำมันสุด ให้กำลังสูงสุด 146 แรงม้า (107 กิโลวัตต์) ที่ 3,600 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุด 294 นิวตัน-เมตร ตั้งแต่รอบต่ำ และรักษาระดับแรงบิดสูงสุดต่อเนื่องจนถึงรอบสูง หรือ Flat Torque อย่างแท้จริงที่ 1,400 – 3,400 รอบ/นาที แต่ให้ความประหยัดน้ำมันยิ่งกว่าเดิม อี ซูซุ “ไอ-เทค” ซูเปอร์คอมมอนเรล 3000 ดีดีไอ แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงสูง “Super High-pressure” 180 MPa. (เมกะปาสคาล) เทคโนโลยีล่าสุดของโลกคอมมอนเรล เทคโนโลยีล้ำหน้าสุดของโลกคอมมอนเรล ฉีดน้ำมันเป็นละอองอณูละเอียดกว่าเผาไหม้มีประสิทธิภาพหมดจดกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า คุ้มค่าทุกอณูน้ำมันอย่างแท้จริง รักษาสิ่งเวลดล้อมมาตรฐานยูโร 3 ก็ถือว่าคุ้มค่า
ส่วนเจ้าเครื่อง 2.5 เป็นเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด! รุ่น 4JK1-TCไอเทค 2500 ดีดีไอ ซูเปอร์คอมมอนเรล
สุดยอดสมดุลแห่งเทคโนโลยี ประหยัดน้ำมันสุด พร้อมสมรรถนะเหนือชั้น เครื่องยนต์ขนาด 2,500 ซีซี พลังแรงสุด 116 แรงม้า หรือ 85 กิโลวัตต์ ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800-2,200 รอบ/นาที พลังแรงจัด อัตราเร่งสูง ซึ่งประหยัด 25.4 ก.ม/ลิตร

มาดูที่ค่าย TOYOTA กันบ้างครับ
ถ้า คุณคือคนหนึ่งที่อยากมีส่วนช่วยลดมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้รถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วันนี้คุณสามารถค้นพบได้ในเครื่องยนต์ คอมมอนเรลไดเร็คอินเจคชั่น เพราะนอกจากสมรรถนะและความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่กล่าวถึงไปแล้วนั้น เครื่องยนต์คอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่นยังเป็นเครื่องยนต์ที่สะอาดมีค่ามลพิษในไอเสียต่ำทั้งตัว เลขของค่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และไฮโดรคาร์บอน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อสภาพแวดล้อมและสร้างมลภาวะในอากาศ แม้ว่าเครื่องยนต์ดีเซล
แบบไดเร็คอินเจคชั่นยุคเดิมให้อัตราความประหยัด น้ำมันที่ดี แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดเจน คือมีควันดำ และมีค่าของก๊าซพิษในไอเสียที่สูงมาก เพราะระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ยังไม่ทันสมัยเท่าที่ควร การจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงไม่แม่นยำ ระบบหัวฉีดแบบกลไก ไม่สามารถฉีดน้ำมันให้แตกตัวเป็นละอองละเอียด ทำให้การเผาไหม้ไม่ค่อยสมบูรณ์และส่งผลต่อเนื่องในเรื่องของมลพิษ เครื่องยนต์ D-4D แบบคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่น ได้นำเทคโนโลยีหลากหลายมาใช้เพื่อการกำจัดมลพิษที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบสมองกลอิเล็กทรอนิกส์ ECU 32 บิท ช่วยควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ ให้มีความแม่นยำและเปี่ยมประสิทธิภาพ ระบบปั๊มแรงดันสูงและระบบหัวฉีดไฟฟ้า จ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้ได้อย่างต่อเนื่อง
และฉีดน้ำมันให้เป็นละอองฝอยคลุกเคล้ากับอากาศได้อย่างทั่วถึง เผาไหม้ได้สมบูรณ์ ระบบมัลติวาล์ว เพิ่มปริมาณไอดี และลดปริมาณไอเสียที่ถ่ายเทเข้า-ออก ภายในกระบอกสูบได้ดียิ่งขึ้น และระบบหมุนเวียนของไอเสีย หรือ EGR (Exhaust Gas Recirculation System) ช่วยลดควันดำที่มักจะเกิดจากเครื่องยนต์ดีเซล
นอกจาก นั้น ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อลดมลพิษ เช่น การติดตั้งเครื่องฟอกไอเสีย (Oxidation Catalytic Converter) ทำหน้าที่แยกก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ และไฮโดรคาร์บอน รวมทั้งก๊าซที่มากับไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซล ระบบ NOx reduction Catalytic Converter เพื่อลดปริมาณของก๊าซไนโตรเจนออกไซต์ รวมทั้งยังติดตั้งตัวกรองอนุภาคในไอเสีย เพื่อทำหน้าที่แยกอนุภาคหนักออกจากไอเสีย และใช้ความร้อนเผาทำลายก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก และพัฒนาระบบการจุดระเบิดล่วงหน้าด้วยการฉีดน้ำมันนำร่อง หรือ Pilot Injection ในระบบจุดระเบิดเพื่อให้กระบวนการเผาไหม้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น
จากความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีที่โตโยต้ามุ่งพัฒนาเพื่อสิ่งแวดล้อม ทำให้เครื่องยนต์ D-4D คอมมอนเรลของโตโยต้าสามารถผ่านมาตรฐานควบคุมไอเสียในระดับ Euro Step III ซึ่งมีความเข้มงวดในการตรวจสอบ และเป็นมาตรฐานไอเสียระดับสูงที่ประกาศบังคับใช้ในยุโรปหลายประเทศ สิ่งเหล่านี้คือ ผลลัพธ์จากความทุ่มเทของโตโยต้าที่ห่วงใยในสภาพแวดล้อม จึงสร้างสรรค์เทคโนโลยีสีเขียวที่เปี่ยมด้วยพลังสะอาดและตอบสนองต่อการใช้ งานอย่างมีประสิทธิภาพ

ถัดมา ค่าย MAZDA
ตลาดปิกอัพไทยแนวรบยังดุเดือด คราวนี้เป็นทีของพระรองบ้าง เมื่อสองค่ายพันธมิตร "มาสด้า-ฟอร์ด" เตรียมส่งปิกอัพโฉมใหม่ลงสู้ศึก โดยมาสด้ากำหนดเปิดตัวกับสื่อมวลชนไปแล้ว เมื่อ 9 มี.ค.ปีที่แล้ว ขณะที่ฟอร์ดน่าจะเผยโฉมในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยทั้งคู่นอกจะชูรูปลักษณ์ใหม่ ที่แม้จะใช้พื้นฐานร่วมกัน แต่การออกแบบล้วนฉีกสไตล์ใครสไตล์มัน พร้อมชูเครื่องยนต์คอมมอนเรลใหม่ 2.5 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ และ 3.0 ลิตร เทอร์โบ 115 กิโลวัตต์ ที่มีแรงบิดสูงสุดเมื่อเทียบกับปิกอัพไทย ทำให้การออกตัว และอัตราเร่งดีกว่า แถมยังประหยัดน้ำมันกว่าเดิม 10% มาสด้าไฟเตอร์ นอกจากจะมีรูปโฉมใหม่หมดจด ซึ่งดูเหมือนจะได้รับอิทธิพลมาจากรถอเนกประสงค์รุ่น "ทริบิวต์" พอสมควร มาสด้ายังได้พัฒนาเครื่องยนต์ใหม่มาติดตั้งเรียกว่า เอ็มแซดอาร์-ซีดี (MZR-CD) ซึ่งเป็นเครื่องยนต์คอมมอนเรลเทอร์โบ มีให้เลือกทั้งขนาด 2,500 ซีซี และ 3,000 ซีซี และจากการที่ปิกอัพใหม่ของมาสด้า ที่ใช้พื้นฐานร่วมกับฟอร์ด รวมถึงเครื่องยนต์ที่นำมาติดตั้ง แม้จะเรียกชื่อแตกต่างกันไป แต่ยังไงก็เป็นบล็อกเดียวกัน ทำให้สเปกเครื่องยนต์ไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปจากกันนัก สำหรับเครื่องยนต์ฟอร์ดเรนเจอร์ ใหม่ เป็นบล็อก 2,500 ซีซี คอมมอนเรล เทอร์โบ TDCI มีกำลัง105 กิโลวัตต์ หรือประมาณ 143 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 330 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 รอบต่อนาที และเครื่องยนต์ 3,000 ซีซี คอมมอนเรล เทอร์โบ TDCI มีกำลัง 115 กิโลวัตต์ หรือประมาณ 156 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 รอบต่อนาที
เหตุนี้ปิกอัพใหม่ของมาสด้าและฟอร์ด จึงมีจุดขายที่แรงบิดสูงสุดในรอบต่ำโดยเฉพาะเครื่องยนต์ 3,000 ซีซี เมื่อเทียบกับปิกอัพยี่ห้ออื่นๆ ที่ทำตลาดอยู่ในไทยปัจจุบัน ทำให้ปิกอัพมาสด้าและฟอร์ด มีการออกตัวที่ดี ประหยัดน้ำมันขึ้น 10% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม อัตราเร่งแซงดี เครื่องยนต์เดินเงียบ มีระดับเสียง และสั่นสะเทือน (NVH) ที่ต่ำ เช่นเดียวกับปริมาณไอเสีย ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยค่ามาตรฐานเสียผ่านมาตรฐานยูโร ระดับ 4

มาที่ค่าย FORD กันบ้าง
ฟอร์ดได้เปิดตัว กระบะ “เรนเจอร์ ใหม่” ที่วางเครื่องยนต์ใหม่ ดูราทอร์ก 380 คอมมอนเรล ชูแรงบิดสูงกว่าทุกค่าย พร้อมคงไว้ด้วยความอเนกประสงค์ และระบบนิรภัยมากขึ้นกว่าเดิมด้วยการติดตั้งถุงลมนิรภัยด้านข้าง บวกกับรูปลักษณ์สไตล์มะกัน โฉมใหม่ดุดันกว่าเก่า ฟอร์ด ย้ำแนวคิด “ชีวิตไร้ขีดจำกัด” เผยโฉมกระบะนิว“เรนเจอร์” พร้อมส่ง “เรนเจอร์” โฉมใหม่เอาใจคอกระบะที่ได้ปรับเปลี่ยนสไตล์กว่า 10 รายการตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่องด้วยราคาคงเดิมพร้อม 3 สี อินเทรนด์ใหม่

ส่วนที่ค่าย NISSAN
นิสสัน ฟรอนเทียร์ โฉมใหม่ ถูกปรับปรุงให้มีหน้าตาทันสมัยขึ้น แถมออกศึกครั้งนี้ ยังปรับเปลี่ยนหัวใจใหม่ โดยวิศวกรของ นิสสัน วางเครื่องยนต์รุ่นใหม่ รหัส ZD30 ที่ให้กำลังม้าเพิ่มขึ้น ทันสมัยสุดๆ ด้วยฝาสูบแบบทวินแคม กับหัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิง ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ ECCS 16 บิท ช่วยให้เครื่องยนต์ เดินเรียบ และประหยัดน้ำมัน เมื่อรวมกับความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารแล้ว ทำให้ นิสสันฟรอนเทียร์ โฉมใหม่คันนี้ สามารถใช้งานได้สารพัดประโยชน์ ทั้งบรรทุกของ หรือจะอวดหน้าตาก็ไม่ขัดเขิน ภายนอก...มาดสปอร์ท ล้ำสมัย ด้านหน้าภายนอก ออกแบบให้ดูคล้ายรถ เอสยูวี มากขึ้น โดยเฉพาะไฟหน้าแบบ มัลทิฟังค์ชัน รีเฟลคเตอร์ ที่รวมไฟหรี่และไฟเลี้ยวไว้ในกรอบเดียวกัน ฝากระโปรงหน้ายกระดับให้สูงขึ้น เพื่อผลทางด้านอากาศพลศาสตร์ กระจังหน้าบึกบึน มีสัญลักษณ์ นิสสัน ทรง 3 มิติ อยู่ตรงกลาง กันชนสีเดียวกับตัวรถ ทำเป็นสันนูนขึ้นมา คล้ายกริลล์การ์ด มีช่องรับลมขนาดใหญ่ไว้ดักลม เพื่อระบายความร้อนหม้อน้ำ ไฟตัดหมอกแบบ มัลทิรีเฟลคเตอร์ ฝังอยู่ที่มุมกันชน ด้านข้างมีไฟเลี้ยวทรงรี ติดตั้งไว้ เหนือซุ้มล้อหน้า กระจกมองข้างปรับมุมมองด้วยระบบไฟฟ้า โครงสร้างแชสซีส์เป็นแบบ ซูเพอร์เฟรม ช่วยดูดซับ และลดแรงกระแทกจากด้านหน้า พวงมาลัยยุบตัวได้ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ และยังมีคานนิรภัยที่ประตูทุกบาน เพื่อปกป้องผู้โดยสารจากการชนด้านข้าง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น ภายในสไตล์เก๋ง เก็บเสียงได้เยี่ยม ห้องโดยสารเน้นความหรูหราสไตล์เก๋ง ด้วยเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าที่ออกแบบให้นั่งได้สบาย แม้ในยามที่ต้อง เดินทางไกล หรือติดหนึบอยู่บนถนนในเมืองกรุง คอนโซลหน้าสีทูโทน ตกแต่งด้วยลายไม้ ช่วยให้ดูดีขึ้น มาตรวัดสีขาว แถบสีน้ำเงิน อ่านง่าย มองเห็นชัดเจน ปุ่มเปิด/ปิดแอร์แบบหมุน ใช้งานสะดวก กระจกหลังมีลวดละลายฝ้ามาให้ด้วย ช่วยอำนวยความสะดวก ให้คุณอุ่นใจในความปลอดภัยด้วยระบบ เซนทรัลล๊อค พร้อมรีโมทคอนโทรล เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากความหรูหราที่ฟรอนเทียร์ มีให้แล้ว นิสสัน ยังใช้วัสดุซับเสียงชั้นดี เพื่อทำให้ห้องโดยสารเงียบ กว่ารถพิคอัพทั่วไป และยังได้ผลดีจากการใช้เครื่องยนต์ ZD30 DD ที่ถูกออกแบบให้ทำงานได้เงียบ ทำให้แทบไม่มีเสียงเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องโดยสารเลยทีเดียว เครื่องยนต์ ดีเซล ZD30DD สุดไฮเทค ล้ำหน้ากว่ารถปิคอัพทั่วไป ด้วยเครื่องยนต์ ZD30 DD ทวินแคม (DOHC) 16 วาล์ว ควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงด้วยคอมพิวเตอร์ ECCS 16 บิท ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิด สูงสุด 21.3 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบต่อนาที และรักษาระดับแรงบิดสูงสุดนี้ไว้จนถึง 3,400 รอบต่อนาที นอกจากจะโดดเด่นด้วยฝาสูบทวินแคมแล้ว ZD30 DD ยังมีเทคโนโลยี เอม-ไฟร์ ไดเรคท์อินเจคชัน ที่รวมเอาข้อดีของระบบไดเรคท์อินเจคชัน และระบบอินไดเรคท์อินเจคชัน ไว้ด้วยกัน ทำให้ประหยัด น้ำมัน ลดความสั่นสะเทือน การสึกหรอ และมีมลพิษต่ำ เครื่องยนต์สร้างแรงบิดได้สูงตั้งแต่รอบต่ำ และรักษาระดับแรงบิดสูงสุด
เพิ่มช่วงการใช้งาน มีวาล์วตัดอากาศทำงานด้วยระบบไฟฟ้า ทำให้เครื่อง ไม่สะบัดขณะดับเครื่องยนต์
ระบบรองรับ ทนทรหด แต่นุ่มนวล ด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ ทอร์ชันบาร์ พร้อมชอคอับ และเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังใช้เพลาแข็งทำงาน คู่กับแหนบ และชอคอับ ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าแบบจาน พร้อมครีบระบายความร้อน ด้านหลังแบบดุม สามารถปรับระยะผ้าเบรคได้อัตโนมัติ พร้อมวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรค ที่ใช้เซนเซอร์คอยตรวจจับการกระจายน้ำหนักของแรงกดระหว่างล้อหน้ากับล้อหลัง แล้วปรับแรงดันน้ำมันเบรคให้สมดุลกัน ช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการหยุดรถได้ดีขึ้น จากรายการ อุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ ที่ค่ายนิสสัน บรรจุมาให้ ชี้ให้เห็นชัดว่ารถพิคอัพยุคนี้ ไม่ได้มีไว้ใช้ สำหรับบรรทุกของเพียงอย่างเดียว แต่สามารถใช้เป็นรถนั่งได้อย่างสบาย รวมทั้งสมรรถนะจากเครื่องยนต์ดีเซลที่ทันสมัย รหัส ZD30 DD ทำให้สนุกสนานกับการขับขี่ได้ไม่แพ้รถเก๋งทีเดียว

สุดท้ายค่ายน้องใหม่ในบ้านเรา CHEVROLET ครับ
บริษัท จี เอ็ม’ (GM) เดินหน้าเต็มสูบ ลุยตลาดปิกอัพต้นปีด้วยกระบะสายพันธุ์ใหม่ “เชฟโรเลต โคโลราโด G80 Diff-Lock” เขย่าวงการตลาดรถกระบะโดยติดตั้งระบบล็อกเฟืองท้าย กลไกอัตโนมัติ รายแรกของเมืองไทย ส่งผลให้เป็นกระบะที่มีกำลังมหาศาลพร้อมลุยทุกเส้นทาง ผู้บริหารประกาศมั่นใจจะทำให้ยอดขาย รถกระบะโคโรลาโดเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ พร้อมคาดการณ์ในอนาคตคู่แข่งต้องเดินตาม

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รู้ให้ทันไฟแนนซ์ [Finance]


คนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆ ท่านๆ จะซื้อจะหาอะไรซักอย่างที่มีราคาหลักหมื่น ก็ต้องคิดกันนานละครับ ทั่วไปหากคิดจะซื้อสินค้าผ่อนส่งอะไรก็ตาม ต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับตัวเลขค่างวดเงินผ่อนที่บริษัทลีสซิ่งหรือบริษัทไฟแนนซ์จะแจ้งให้คุณทราบว่าเป็นจำนวนเท่าใด เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ผู้บริโภคต้องรู้ ต้องเข้าใจวิธีการคิดตัวเลข จึงจะป้องกันไม่ให้ตัวเองถูกโกงโดยไม่รู้ตัว และเชื่อได้ว่ามีประชาชนจำนวนมาก ๆ ที่ถูกโกงมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งพวกที่ผ่อนหมดไปแล้วหรือพวกที่กำลังผ่อนชำระกันอยู่ โดยปกติสินค้าที่เกี่ยวกับเงินผ่อนไม่ว่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างมีวิธีการคิดค่างวดเงินผ่อนที่เหมือนกัน จะต่างกันก็ตรงดอกเบี้ยที่คิดเท่านั้น เพียงแต่ผู้บริโภคต้องทำความเข้าใจกับ 3 องค์ประกอบต่อไปนี้เป็นพื้นฐานก่อนคือ
1. สินค้าที่จะซื้อเงินผ่อน เป็นสินค้าใหม่หรือสินค้าใช้แล้ว
2. ผู้ขายสินค้าอยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ เป็น บุคคล หรือ นิติบุคคล
3. ภาษีมูลค่าเพิ่มในขณะนั้นมีอัตราเท่าใด
ในกรณีสินค้าใหม่นั้น ราคาที่ผู้ขายบอกขายจะรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วทั้งสิ้น เช่น รถยนต์ใหม่ราคา 2,500,000 บาท รถจักรยานยนต์ใหม่ราคา 60,000 บาท เครื่องรับโทรทัศน์ใหม่ราคา 12,000 บาท เป็นต้น
ส่วนสินค้าใช้แล้วนั้น จะขึ้นอยู่กับผู้ขายด้วย กล่าวคือ ถ้าผู้ขายเป็นนิติบุคคลที่อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม
ราคาของสินค้าใช้แล้วย่อมรวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วเช่นกัน แต่ถ้าผู้ขายไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ราคาขายของสินค้าใช้แล้วนั้นไม่ได้รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น รถมือสองที่ขายโดยเต๊นท์รถต่าง ๆ ส่วนมากจะไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะเต๊นท์ที่ขายไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น ผู้บริโภคต้องถามให้ชัดเจนว่ารวมภาษีมูลค่าเพิ่มหรือยังไม่รวม ก่อนตัดสินใจซื้อแบบเงินผ่อน สำหรับการคิดค่างวดนั้น จะขอยกตัวอย่างวิธีคิดที่ถูกต้องที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้า
ที่มีราคาขายที่ 1,600,000 บาท (ถอด VAT 7% = 1,495,327.10) เขามีวิธีคิดดังนี้ครับ:
สินค้าที่ถอดมูลค่าเพิ่มออก สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม
รถยนต์ใหม่/รถมือสอง 1,495,327.10 1,600,000
หัก เงินดาวน์ 373,831.77 400,000 (จ่ายให้เต๊นท์รถ)
เงินกู้เช่าซื้อ 1,121,495.33 1,200,000
คิดดอกเบี้ย 5% Flat 2 ปี 112,149.53 120,000
รวมยอดผ่อนชำระ 1,233,644.86 1,320,000
ค่างวดต่อเดือน (หารด้วย 24) 51,401.87 55,000
บวก ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% 3,598.13 3,850
ค่างวดต่อเดือนที่ต้องผ่อน 55,000 x 24 58,850 x 24
จะเห็นได้ว่าซื้อสินค้าจากผู้ขายที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วต้องการผ่อน จำนวนเงินที่ผ่อนจะสูงกว่าเพราะบริษัทลีสซิ่งจะต้องบวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้า ไปด้วยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่ประเด็นนี้ยังพอทำใจได้ ที่จะกล่าวถึงตามหัวเรื่องที่เขียนจะเกิดกับสินค้าที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มมา แต่แรกแล้ว ซึ่งจะเป็นสินค้าใหม่ จากที่เคยเห็นและรับปรึกษาให้แก่ผู้บริโภคที่เดือดร้อน เมื่อนำสัญญาเช่าซื้อที่ทำกับบริษัทลีสซิ่งและบริษัทไฟแนนซ์ทั้งใหญ่และกลาง บางแห่งมาดูพบว่ามีการบวกภาษีมูลค่าเพิ่มซ้ำเข้าไปอีกครั้ง ถือว่าเป็นการโกงผู้บริโภคโดยแท้จริง โดยการแสดงวิธีคิดที่สับสนเล็กน้อย ดังนี้ :
รถยนต์ใหม่ 1,600,000.00 (ตัวเลขรวม VAT)
หัก เงินดาวน์ 400,000.- 373,831.77 (ตัวเลขถอด VAT)
เหลือเงินกู้ 1,226,168.23
คิดดอกเบี้ย 5% Flat 2 ปี 122,616.82
รวมยอดผ่อนชำระ 1,348,785.05
ค่างวดต่อเดือน (หาร 24) 56,199.38
บวก ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% 3,933.96
ค่างวดต่อเดือนที่ต้องผ่อน 60,133.33 x 24
วิธี คิดข้างต้นใช้แบบผสมที่ไม่ถูกต้อง แต่ผู้บริโภคที่ไม่ได้ศึกษาจะไม่ทราบ และยอมผ่อนตามที่แสดงไว้
เหตุการณ์เช่นนี้มักจะเกิดกับข้อเสนอจากบริษัทลีสซิ่งและบริษัทไฟแนนซ์ที่ คิดดอกเบี้ยเช่าซื้อถูกเป็นพิเศษ
และใช้วิธีโกงข้างต้นตลบหลังบวกเพิ่มโดยผู้เช่าซื้อไม่รู้ตัว แล้วคุณล่ะ! วันนี้ได้ตรวจดูสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้หรือยัง คุณอาจเป็นคนหนึ่งที่โดนแล้วก็ได้…จะบอกให้ คุณต้องรู้ให้ทันพวกนี้ครับ

วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

"ยาง" จุดเริ่มต้นของความปลอดภัย



ยางรถยนต์คือปราการแรกของความปลอดภัยในการขับขี่ หากเครื่องไม่ติดก็ไปไม่ได้ แต่หากเครื่องติดไปได้แล้วยางไม่ดี โอกาสเสี่ยงต่ออุบัติเหตุมีสูง จะนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างไม่น่าที่จะเป็น ดังนั้นผู้ใช้รถจึงต้องให้ความสำคัญกับยาง ในอันดับต้นๆ หมั่นตรวจตราดอกยาง เนื้อยาง ขอบล้อ อย่างสม่ำเสมอ พบเห็นความผิดปกติของยาง อย่างนิ่งนอนใจหรือฝืนใช้ มิฉะนั้นท่านจะต้องเสียใจภายหลังครับ วันนี้มีข้อแนะนำการดูแลยางรถยนต์มาฝากกันครับ รู้แล้วก็ลองไปดูยางรถของท่านก่อนออกรถนะครับ และขอให้เดินทางโดยปลอดภัยในทุกเส้นทางครับ

1. รัน - อินต้องมีการรัน-อิน ยางใหม่ก็เช่นกันในช่วง 100 - 200 กิโลเมตรแรก ควรใช้ความเร็วไม่เกิน 80 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อให้โครงสร้างแก้มยาง และหน้ายางมีการปรับตัว เพราะยางทุกเส้น ถูกผลิตออกมาให้รับกับมุมแคมเบอร์ของล้อเท่ากับ 0 คือตั้งฉากกับพื้น แต่รถยนต์ทุกคันไม่ได้มีมุมแคมเบอร์เท่ากับ 0 มีทั้งแบะหรือหุบ ในช่วงแรกจึงต้องใช้เวลาให้หน้ายางสึกปรับตัวรับกับศูนย์ล้อ
2. ถ่วงล้อยางต้องหมุนนับพันรอบต่อนาที โดยเฉพาะล้อคู่หน้าที่มีการเลี้ยงด้วยจึงต้องมีการถ่วงสมดุล เพราะถ้าล้อคู่หน้าไมได้สมดุล มักมีอาการพวงมาลัยสั่นในบางช่วงความเร็ว และทำให้ลูกปืนล้อหรือช่วงล่างมีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ หรือถอดยางออกจากระทะล้อ เพื่อสลับยางหรือเปลี่ยนยาง ต้องมีการถ่วงสมดุลใหม่เสมอ เมื่อใช้งานไปสัก 40 - 50 % ของอายุการใช้งานยาง ควรถอดมาถ่วงสมดุล เพราะการสึกหรออาจไม่สม่ำเสมอกัน ถ้าใช้วิธีถอดกระทะล้อออกมาถ่วงสมดุล แล้วยังมีอาการสั่นของพวงมาลัยบางช่วงความเร็ว ต้องเปลี่ยนไปใช้วิธีถ่วงแบบจี้ คือ ไม่ต้องถอดล้อออกจากรถยนต์เป็นการถ่วงสมดุลกระทะล้อ , ยาง , จานดิสก์เบรก , เพลาขับ , ลูกปืนล้อ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง แต่โดยทั่วไป การถอดล้ออกมาถ่วงภายนอกก็เพียงพอแล้ว

3. ลมยางแรงดันลมมาตรฐานของยางรถยนต์ทุกรุ่นส่วนใหญ่อยู่ในระดับ 28 - 32 ปอนด์/ตารางนิ้ว (PSI) สำหรับรถยนต์นั่ง การวัดแรงดันลมยาง ต้องใช้มาตรฐานที่ได้มาตรฐานและวัดตอนที่ยางเย็นหรือร้อนไม่มาก หากละเลยการตรวจสอบลมยาง มักเกิดปัญหาแรงดันลมน้อย - ยางอ่อน ทำให้แก้มยางมีการบิดตัวมากและร้อนง่าย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้น และอัตราเร่งลดลง จากแรงต้านการหมุนที่เพิ่มขึ้น และหากลมยางอ่อนมากๆ จะทำให้โครงสร้างภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น และมีการสึกหรอบริเวณนอกซ้าย - ขวา ของหน้ายางมากกว่าแนวกลาง บางคนอาจจะคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเติมยางเกินไว้น่าจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องตรวจสอบบ่อยๆ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด เพราะแรงดันลมยางที่มากเกินไปทำให้ประสิทธิภาพการเกาะถนนลดลง จากหน้าสัมผัสที่ลดลง กระด้าง และถ้าลมยางแข็งมากๆ จะเสี่ยงต่อการระเบิด และมีการสึกหรอบริเวณแนวกลางมากกว่าริมนอกซ้าย-ขวา เดินทางไกล ควรเติมแรงดันลมยางแข็งกว่าปกติ 2 - 3 ปอนด์/ตารางนิ้ว เพื่อป้องกันยางร้อนมาก หรือแรงดันลมสูงเกินไปจนระเบิด อาจตรงข้ามกับความคิดผิดๆที่ว่า เมื่อเดินทางไกลยางหมุนด้วยความเร็วสูงและต่อเนื่อง ยางน่าจะร้อนและมีแรงดันลมเพิ่มขึ้น จากหลักการของก๊าซ อากาศร้อนจะขยายตัว ทำให้แรงดันลมเพิ่ม จึงคิดว่าน่าจะลดแรงดันลมลงจากปกติ ซึ่งผิด เพราะหากมีการลดแรงดันยางลงในขณะที่เดินทางไกล ยางจะกลับร้อนและมีแรงดันสูงมาก เพราะแก้มยางจะบิดตัวมากจนร้อน และทำให้แรงดันลมสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว วิธีที่ถูกต้อง คือ เพิ่มแรงดันลมขึ้น 2 - 3 ปอนด์ เพื่อป้องกันการเปิดตัวของแก้มยางมากจนร้อน เป็นการป้องกันล่วงหน้า เช่น ยางที่มีแรงดันลม 32 ปอนด์ มากกว่าปกติ 2 ปอนด์ เมื่อเดินทางไกลอาจจะมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นจากความร้อนเพียง 2 ปอนด์ แต่ถ้าแรงดันลมเหลือ 28 ปอนด์ ยางจะบิดตัวมากและร้อนมากกว่าอาจมีแรงดันลมเพิ่มขึ้นถึง 5 - 6 ปอนด์ และก็เป็นลมที่มีความร้อนสูงกว่าการเติมลมแรงดันสูงเผื่อไว้

4. สลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร ควรสลับยางพร้อมกระทะล้อหน้า - หลังในแต่ละด้าน เพื่อให้มีการสึกหรอใกล้เคียงกันทั้ง 4 เส้น เพราะยางคู่ที่ใส่กับล้อขับเคลื่อนจะมีการสึกหรอมากกว่ายางอีกคู่หนึ่ง อย่าลืมดูทิศทางการหมุนและถ่วงล้อใหม่ด้วย แนวทางการสลับยาง และระยะทางที่เหมาะสม มักทีกำหนดในคู่มือประจำรถยนต์ ถ้าไม่สลับยางแล้วมีการสึกหรอไม่เท่ากัน หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนยางครั้งละคู่หรือ 2 ล้อ เพราะทำให้ต้องเปลี่ยนสลับครั้งละคู่ไปเรื่อยๆเสียเวลาและไม่ถูกต้อง ในการเปลี่ยนยาง ไม่ควรใช้ยางต่างรุ่นดอกกันในแกนล้อเดียวกันเพราะประสิทธิภาพการเกาะถนนจะ แย่ลง ควรใช้ยางขนาดเดียวกันและรุ่นเดียวกันทั้ง 4 ล้อ

5. หมั่นตรวจสอบการสึกหรอของดอกยางนอกจากตรวจสอบความลึกของดอกยางและสลับตาม ระยะทางแล้ว ยังควรหมั่นสังเกตการสึกหรอที่ผิดปกติตลอดหน้ายาง ซึ่งมีหลายลักษณะ ถ้าหน้ายางสึกเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง แสดงว่าศูนย์ล้อผิดปกติ แต่ถ้ามีการสึกไม่เรียบเสมอกันตลอดหน้ายาง หรือสึกเป็นบั้งๆอาจเกิดจากระบบช่วงล่างควรรีบแก้ไข เพราะมีผลต่ออาการทรงตัวของรถด้วย
6. หมดสภาพยางหมดอายุได้ในหลายลักษณะหลัก เช่น ดอกหมด , ไม่เกาะ , เนื้อแข็ง , โครงสร้างกระด้าง , แตกปริ , แตกลายงา , เสียงดัง หรือแก้มยางบวม เกิดขึ้นเพียงลักษณะเดียวหรือควบคู่กันก็ถือว่าหมดอายุ ไม่จำเป็นต้องดอกหมดแล้วยางถึงจะหมดสภาพเสมอไป เพราะความลึกของดอกยางเกี่ยวข้องกับการรีดน้ำ ฝุ่น และโคลนเป็นหลัก ส่วนประสิทธิภาพการเกาะถนนและการทรงตัว ขึ้นอยู่กับความแข็งของเนื้อยางและโครงสร้างภายใน ยางรถยนต์ส่วนใหญ่จะ เริ่มแข็งตัวขึ้นทีละนิด แต่จะรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง (ประมาณ 1 ปีหรือ 20,000 กิโลเมตร) ตามพื้นฐานของผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยางที่แพ้ความร้อน เมื่อเนื้อยางแข็ง ดอกยางก็ไม่ค่อยสึก แต่แรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับผิวถนนจะลดลง หากเปรียบเทียบอัตราการสึกของดอกยางต่อระยะทาง แทบไม่มียางรุ่นไหนที่ดอกสึกเร็วขึ้นเมื่อผ่านการใช้งานไปแล้ว ส่วนใหญ่มักจะสึกช้าลงหรือแทบไม่สึกเลยเมื่อเนื้อยางแข็งกระด้างเต็มที่ ทดสอบ ง่ายๆโดยใช้เล็บจิกลงบนเนื้อของหน้ายางเก่า เปรียบเทียบกับยางใหม่ๆเนื้อยางเก่ามักแทบจิกไม่ลง อายุการใช้งานของยางสำหรับเมืองไทย เฉลี่ยประมาณ 3 ปี หรือ 50,000 - 60,000 กิโลเมตร ก็ถือว่ายางเสื่อมสภาพแล้ว แต่ก็ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและลักษณะการใช้งาน ถ้าใช้งานเกินระยะทางข้างต้น ควรพิจารณาอย่างละเอียดว่าสภาพของยางดีหรือไม่ เพราะพบว่ายางรถยนต์หลายรุ่นสามารถใช้งานได้นานกว่านั้น ควรหลีกเลี่ยงยางเก่าเก็บ เพราะจะทำให้ระยะเวลาในการใช้ยางสั้นลงไปอีก

ข้อควรระวัง
1. ไม่จอดทิ้งไว้นาน รถ ยนต์ที่ใช้งานน้อย จอดนิ่งอยู่กับที่น้ำหนักของตัวรถทั้งหมดจะกดลงสู่ยางแต่ละเส้นในจุดเดียว โครงสร้างภายในและแก้มยางจะมีการยืดตัวและเสียความหยืดหยุ่น ยิ่งจอดนิ่งนานๆโครงสร้างของยางยิ่งมีโอกาสเสียง่ายขึ้น ถ้าต้องจอดนานมากทุก 1 สัปดาห์ต้องสตาร์ทเครื่องและนำรถออกไปแล่นอย่างน้อย 2 - 3 กิโลเมตร หรือเดินหน้าถอยหลัง 5 - 10 เมตรหลายๆครั้ง เพื่อให้แก้มยางและโครงสร้างของยางมีการขยับตัว
2. น้ำยาเคลือบ เป็น เรื่องปกติที่คนไทยที่รักสวยรักงาม น้ำยาเคลือบแก้มยางเพื่อเพิ่มความสวยงาม น้ำยาบางชนิดมีฤทธิ์ต่อเนื้อยาง ทำให้บวมหรือเปื่อยในระยะยาว ควรเป็นสารประเภทซิลิโคนจะปลอดภัยกว่า


Mercedes-Benz 190E ทน ถูก หรู และดูดี


190อี เป็นรถยนต์นั่งขนาดเล็กรุ่นแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ฉีกแนวจากเดิมที่เคยผลิตแต่รถยนต์ระดับหรูคันโต เปิดตัวสู่ตลาดโลกในเดือนพฤศจิกายน ปี 1982 (20 ปีที่แล้ว) มีเฉพาะตัวถังซีดาน 4 ประตู เครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล ในประเทศไทยไม่ได้ทำตลาดรถยนต์รุ่นนี้ตั้งแต่แรก แต่ก็มีพวกพวกรถยนต์สำหรับฑูตต่างประเทศที่เปลี่ยนมือมาให้เห็นประปราย การทำตลาดในไทยเริ่มต้นจริงๆ ในช่วงปลายอายุตลาดของตัวรถยนต์ จนเกือบจะตกรุ่นแล้ว เพราะในช่วงปี 1982-1991 ผู้จำหน่ายคาดว่าไม่คุ้มกับการตั้งสายการผลิตในไทย ครั้นจะนำเข้าก็แพงมาก เพราะกำแพงภาษี

เมื่อปี 1991 รัฐบาลนายกฯ อานันท์ ประกาศลดอัตราภาษีรถยนต์นำเข้าลงเหลือต่ำมากๆ จึงทำให้เกิดตลาดรถยนต์นำเข้า รวมทั้งรถยนต์รุ่นนี้ด้วย

ผู้จำหน่าย เบนซ์ในเมืองไทย จึงนำเข้า 190อี มาทำตลาดไทยในช่วงแรก เหมือนการทำตลาดทั่วไป ทยอยสั่งทยอยขายไปเรื่อยๆ ในราคาคันละล้านกว่าบาท ซึ่งถือว่าไม่แพงสำหรับรุ่นเล็กของยนตรกรรมหรู ที่คนไทยไม่เคยมีโอกาสซื้อ แต่ก็แพงพอสมควรสำหรับค่าเงินในยุคนั้น จึงทำยอดจำหน่ายได้แค่เรื่อยๆ

ใน ช่วงปี 1993 เป็นความพอดีที่ 190อี กำลังจะตกรุ่นในตลาดโลก และมีสต็อกค้างที่เยอรมนีอยู่มาก ผู้จำหน่ายไทยจึงตัดสินใจสั่งนำเข้ามาหลายพันคัน เมื่อเป็นการสั่งซื้อจำนวนมากๆ อีกทั้งกำลังจะตกรุ่น และตัดหลายอุปกรณ์อำนวยความสะดวกออกไป จึงทำให้สามารถตั้งราคาได้ต่ำมาก ทำให้จำหน่ายได้ง่าย และพยายามเลี่ยงกระแสว่าเป็นการโล๊ะรถยนต์ตกรุ่น แต่ทำให้เป็นการจำหน่ายรถยนต์ด้วยราคาและเงื่อนไขพิเศษ 190อี ถึงจะเป็นเบบี้เบนซ์ แต่ตั้งราคาไว้แค่ล้านบาทต้นๆ แม้จะมีอุปกรณ์น้อย แต่ก็ยังเป็นที่หมายปอง และสำคัญที่มีข้อเสนอดาวน์น้อยผ่อนนานมากๆ จึงจำหน่ายได้รวมหลายพันคัน หลังการเปิดตัวเพียงไม่กี่วัน ช่วยฝรั่งระบายสต็อกใหญ่ได้เป็นอย่างดี

190อี มีรหัสตัวถัง ดับเบิลยู201 ในช่วงนั้นคนไทยส่วนใหญ่ ยังไม่คุ้นเคยกับการระบุรุ่นรถยนต์ด้วยรหัสตัวถัง ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทรถยนต์ไม่ค่อยประชาสัมพันธ์มากนัก รวมทั้งรุ่นและยี่ห้อรถยนต์ ยังไม่หลากหลายเหมือนในปัจจุบัน จึงไม่เกิดความสับสน โดยตั้งชื่อเรียกกันเล่นๆ ว่า "เบบี้-เบนซ์ เพราะเป็นเบนซ์ขนาดเล็กที่สุดในขณะนั้น แต่โดยทั่วไปเรียกว่า 190อี ก็เข้าใจ และเลข 190 ก็ไม่ได้ย่อมาจาก 1,900 ซีซี แต่อย่างไร เพราะ 190อี เป็นรหัสตายตัว แต่มีเครื่องยนต์หลากหลาย เช่น 1,800 2,000 หรือ 2,300 ซีซี ฯลฯ

รุ่นที่นำเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย มีเฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน ใช้บล็อกหลักเดียวกัน 4 สูบล้วนๆ คือ เอ็ม102 โอเวอร์เฮดแคมชาฟต์ 8 วาล์ว แบ่งเป็น 3 รุ่น โดยมีรุ่นหลักในการทำตลาด ที่มีราคาไม่แพง คือ 1.8 ลิตร ความกว้างกระบอกสูบ 89 มิลลิเมตร ช่วงชัก 72.2 มิลลิเมตร ความจุ 1,797 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.1 : 1 กำลังสูงสุด 80 กิโลวัตต์ หรือ 109 แรงม้า (PS DIN) ที่ 5,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 15.3 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที

รุ่น 2.0 ลิตร ความกว้างกระบอกสูบ 89 มิลลิเมตร ช่วงชัก 80.2 มิลลิเมตร ความจุ 1,996 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.1 : 1 กำลังสูงสุด 90 กิโลวัตต์ หรือ 122 แรงม้า (PS DIN) ที่ 5,300 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 17.8 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที ทั้ง 2 รุ่น ขับเคลื่อนล้อหลัง ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 4 หรือ 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ

รุ่น 2.3 ลิตร ความกว้างกระบอกสูบ 95.5 มิลลิเมตร ช่วงชัก 80.2 มิลลิเมตร ความจุ 2,298 ซีซี อัตราส่วนการอัด 9.0 : 1 กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ หรือ 136 แรงม้า (PS DIN) ที่ 5,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.4 กก.-ม. ที่ 3,500 รอบ/นาที มีเฉพาะเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ (รุ่นนำเข้าเป็นแบบทวินแคม 16วาล์ว 188 แรงม้า ของ 230E)

ระบบบังคับเลี้ยวแบบกระปุกลูกปืนพร้อมเพาเวอร์ ระบบช่วงล่างแบบอิสระ 4 ล้อ ด้านหน้าปีกนก ด้านหลังมัลติลิงก์ 5 จุดยึด ทนทานพอสมควรและให้การทรงตัวที่ดี ระบบเบรกทุกรุ่นเป็นแบบดิสก์ 4 ล้อ ส่วนเอบีเอสป้องกันล้อล็อก เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษ จึงมีในบางคันเท่านั้น

ภายนอกสวยแบบเรียบๆ ทรงเหลี่ยม เมื่อก่อนดูดี แต่เริ่มดูเชยๆ แล้วในช่วงนี้ เพราะถูกออกแบบมาตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว เพียงแต่คนไทยเพิ่งเริ่มได้ใช้กันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว หรูหรา ด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ชุบโครเมียม เป็นชิ้นเดียวกับฝากระโปรง ด้านบนติดโลโก้ดาว 3 แฉก ไฟหน้าทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ รวมไฟตัดหมอกไว้ในโคมเดียวกัน ประกบข้างด้วยไฟเลี้ยวแบบโคมเหลือง ฝากระโปรงหลังเปิดได้แค่แนวเหนือป้ายทะเบียน ไฟท้ายทรงเหลี่ยมยาวลายลูกฟูก เอกลักษณ์ของเบนซ์ แทรกกลางด้วยช่องใส่ป้ายทะเบียน

ตัวถังกะทัดรัด ส่งผลให้ห้องโดยสารแคบไปนิด มีความยาว 4,448 มิลลิเมตร กว้าง 1,690 มิลลิเมตร สูง 1,390 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,665 มิลลิเมตร น้ำหนัก 1,170-1,240 กิโลกรัม

ราคากลาง ปี 1992 ประมาณ 450,000 บาท, ปี 1993 ประมาณ 500,000 บาท, ปี 1994 ประมาณ 530,000 บาท, ปี 1995 ประมาณ 560,000 บาท, ปี 1996 ประมาณ 600,000 บาท และปี 1997 ประมาณ 650,000 บาท

รถยนต์รุ่นนี้มีจุดเด่นที่ความเป็นเบนซ์ มีภาพพจน์ดีในสังคม (แต่ต้องสีสวย สะอาด ไม่ใช่โทรมๆ) แม้จะเป็นรุ่นเล็ก แต่ก็ไม่ทิ้งมาตรฐานเดิม ที่มีความทนทานทั้งเครื่องยนต์และช่วงล่าง ส่วนหนึ่งเพราะยังไม่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเกี่ยวข้องมากนัก จึงดูแลรักษาง่าย ถ้าไม่ถูกย้อมแมวหรือได้คันที่มีสภาพโทรม ซ่อมครั้งเดียวน่าจะจบ และใช้งานได้แบบไม่จุกจิก

มิติตัวถังเทียบ เท่ารถยนต์ญี่ปุ่นขนาดกลาง จึงให้ความคล่องตัวเมื่อใช้งานในเมือง ประสิทธิภาพของช่วงล่างและเบรกมั่นใจได้ ตามสไตล์รถยนต์ยุโรปยี่ห้อดัง ห้องโดยสารกว้างขวางเพียงพอสำหรับ 5 ที่นั่ง ด้านหลังนั่งได้ 3 คนแบบพอดีๆ เกือบๆ จะอึดอัด อุปกรณ์มาตรฐานภายในด้อยไปนิด เพราะถูกตัดออกไปหลายรายการ โดยเฉพาะรุ่นที่โล๊ะสต็อกพร้อมกันหลายพันคัน

ถ้าชอบเบนซ์โฉมนี้ รุ่น 1.8 จะมีให้เลือกมากที่สุดถึงกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของตัวถังนี้ เนื่องจากในช่วงนั้นคนส่วนใหญ่คิดว่า รถยนต์ยุโรปกินน้ำมันมากกว่ารถยนต์ญี่ปุ่น รวมทั้งราคาของรุ่น 2.0 กับ 2.3 แพงกว่ารุ่น 1.8 อยู่หลายแสนบาท คนทั่วไปจึงมักจะซื้อรุ่น 1.8 และที่สำคัญอีกอย่าง คือ หลายคนซื้อในงานโล๊ะสต็อกด้วยราคาและเงื่อนไขพิเศษ ที่หลายคนชอบและกัดฟันซื้อ จึงไต่ขึ้นไปซื้อรุ่น 2.0 หรือ 2.3 ไม่ไหว

ถ้า เป็นคนเท้าหนัก คงต้องทำใจกับความอืดของอัตราเร่ง ของรุ่น 1.8 ถ้าทดลองขับแล้วไม่พอใจ ก็ต้องควานหารุ่น 2.0 หรือ 2.3 (ซึ่งหายากมากๆ) แม้การเพิ่มความแรงให้กับรุ่น 1.8 จะทำได้ แต่ไม่ค่อยคุ้มค่าเงิน และควรซื้อรุ่นเกียร์อัตโนมัติ แต่ถ้าตัดสินใจเลือกรุ่นเกียร์ธรรมดา ก็ควรหาคันที่เป็นแบบเดินหน้า 5 จังหวะ

อะไหล่ของรถยนต์รุ่นนี้ นอกจากศูนย์บริการที่มีราคาแพงแล้ว ยังสามารถซื้ออะไหล่เทียบและอะไหล่แท้นอกศูนย์ฯ มีครบคันทุกชิ้น หมดกังวลไปได้เลย โดยมีแหล่งใหญ่อยู่หลังวัดโสมฯ แถวนางเลิ้ง มีประมาณ 10 ร้าน และในวรจักรก็มีประปรายประมาณ 10 ร้าน แต่จอดรถไม่สะดวกเท่าหลังวัดโสมฯ

การดูแลรักษา ถ้าไม่ใช่ระบบเฉพาะที่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษตรวจสอบ ก็สามารถเข้ารับบริการตามอู่ทั่วไปได้ และถ้าตกลงกับอู่ได้ว่าจะหาอะไหล่ไปเอง ก็จะช่วยประหยัดเงินได้มาก เพราะราคาอะไหล่แท้หรือเทียบใช้ตามร้านทั่วไป ราคาถูกพอกับอะไหล่รถยนต์ญี่ปุ่นระดับราคาเดียวกัน หรือบางชิ้นมีราคาถูกจนน่าแปลกใจก็ยังมี

การเลือกซื้อควรใจเย็น ค่อยๆ เปรียบเทียบราคากับสภาพรถยนต์หลายๆ คัน เน้นให้เลือกคันที่ตัวถังไม่ช้ำ จากการชนหนัก หรือถูกดัดแปลงมา พึง พอใจในอุปกรณ์เดิมๆ ที่มีมาให้หรือเปล่า มีอย่างที่ไหน บางคันเบาะหนังเทียม เกียร์ธรรมดา 4 จังหวะ ไม่มีมาตรวัดรอบ กระทะล้อเหล็ก ทั้งที่เป็นเบนซ์

เครื่องยนต์ไม่มีระบบซับซ้อน ลองสตาร์ตและฟังเสียงว่าผิดปกติหรือไม่ ถ้าเลือกรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ต้องตรวจสอบอย่างละเอียด การเปลี่ยนเกียร์ต้องทำได้ครับทุกจังหวะ ไม่มีอาการกระตุกกระชากขณะออกตัวหรือขับ หรือเร่งไม่ค่อยขึ้น เพราะถ้าเสียจะซ่อมแพง

จุดอ่อนของรถยนต์รุ่นนี้มีน้อยมาก บางคันตู้แอร์รั่ว ก็ไม่แพงนัก เปลี่ยนแบบหลอดทองแดงก็ทนดี นอกจากนั้นต้องยอมรับให้ได้กับตัวถังขนาดเล็ก ทรงเริ่มเชยกับสันเหลี่ยม ห้องโดยสารไม่กว้าง และบางคันขาดอุปกรณ์หลายอย่างที่ควรจะมี

แม้จะ เป็นเบนซ์ แต่ ณ วันนี้หลายคนที่พบเห็นก็ไม่ได้รู้สึกหรูเท่าไรกับเบบี้เบนซ์ ที่ราคามือสองถูกกว่า โซลูน่า หรือซิตี้ ป้ายแดง แต่ก็แลกมาด้วยจุดเด่นด้านความทนทาน อะไหล่ไม่แพง ขายต่ออีกครั้งราคาไม่ตกมาก

สรุป เบบี้เบนซ์ 190อี ภาพพจน์ยังพอใช้ได้ เกาะถนน ทนทาน อะไหล่เพียบ ซ่อมไม่แพง แต่ทรงเริ่มเชย(อันนี้ตามมุมมองของผมเอง) ห้องโดยสารแคบไปนิด รุ่น 1.8 อัตราเร่งอืดหรือไม่ขึ้นอยู่กับเท้าแต่กินน้ำมันไม่มาก และบางคันอุปกรณ์มาตรฐานน้อยเกินไป

PEUGEOT 405 GR MT สิงห์ลำพอง



สำหรับคนที่มีงบน้อยแต่ต้องการรถมือสองราคาถูกไว้ซักคันเพื่อไว้ใช้ขับทำงานแล้วละก้อ ผมอยากแนะนำ PEUGEOT 405 GR MT ที่มีราคาเพียงแสนบวกลบเรื่องคุณภาพเทียบกับราคา แล้วอยู่ในเกณฑ์สมน้ำสมเนื้อครับ แต่ก่อนตัดสินใจลองมาดูข้อมูลที่ได้ประมวลจากผู้ใช้หลายๆคนที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับรถรุ่นนี้สรุปได้ดังนี้ครับ
เปอร์โย 405 เริ่มออกวางตลาดบ้านเราเมื่อปี 1989 โดยการเผยโฉมครั้งแรกนั้นเป็นเครื่องยนต์ 2000 cc เครื่องคาบูเรเตอร์และแรงม้าไม่เกิน 110 ตัว มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะและเกียร์ธรรมดา 5 สปีด เป็นรถที่ออกตัวค่อนข้างหนืดแต่ในตอนปลายค่อนข้างใช้กำลังได้ดีช่วงล่างเกาะถนนดีมากแม้เข้าโค้ง 120กม/ชม. ก็ไม่มีอาการสบัดถือว่าเกาะถนนได้ดีทีเดียวส่วนเรื่องการกินน้ำมันเกียร์ ธรรมดาในเมืองอยู่ที่ 8 กม/ลิตร ส่วนต่างจังหวัดความเร็วคงที่อยุ่ที่ประมาณ 12-13 กม/ลิตร ส่วนเกียร์ออโต้นั้นในเมืองอยู่ที่ประมาณ 7 กม/ลิตร ส่วนต่างจังหวัดความเร็วคงที่อยู่ประมาณ 11-12 กม/ลิตร ออฟชั่นของตัวนี้ก็มีกระจกไฟฟ้าคู่หน้า เซ็นทรัลล็อก พวงมาลัยพาวเวอร์และต่อมาได้ปรับเปลี่ยนโฉมใหม่แต่ไม่แปลกไปจากเดิมมากนักในปี1993 เครื่องยนต์ 2000 cc.และได้เปลี่ยนเป็นระบบหัวฉีด เพิ่มออฟชั่นให้มีกระจกไฟฟ้า 4 บาน และกระจกมองข้างปรับไฟฟ้า นอกนั้นเหมือนเดิมเกือบทุกอย่าง

ข้อดี
1. รูปร่างหน้าตาความสวยเรียกว่าไม่เป็นรองใครเลยหล่ะ ผู้ใช้แสดงถึงความมีรสนิยม แต่สวนทางกับรายได้ เพราะราคาซื้อต่อมือสอง-มือสาม ราคาแสนบวก ลบ แล้วแต่สภาพ ขอให้คิดว่าซื่อมาใช้แล้วจะรู้สึกดี ราคาขนาดนี้แลกกับรถยุโรปถือว่าโอเค
2.ข้อดีอีกอย่างที่ต้องยอมรับเรื่องสมรรถนะ เครื่องยนต์ในรุ่น 2000 สามารถเร่งได้ดีความเร็วปลายอยู่ประมาณ 170-190 แล้วแต่ว่าเท้าคุณหนักรึเปล่า โดยเฉพาะรุ่น Mi 16 ความเร็วปลายเลย 200 แน่นอน และอีกอย่างเรื่องการเกาะถนนต้องยอมรับว่าทำได้ดีเลย 140 ไปสามารถเข้าโค้งโดยไม่ต้องแตะเบรค คุณสามารถฝากชีวิตไว้กับโค้งได้ นี้คือสิ่งที่ชาว Peugeot ภูมิใจนักหนา แต่เมื่อเทียบกับรถค่ายปลาดิบ..คุณต้องแตะเบรคเพื่อแรกกับความปลอดภัยเวลาเข้าโค้ง ก็ลองพิจารณาดูกว่าคุณจะเลือกแบบไหน
3. อะไหล่หาง่ายมีทั้งของแท้และเทียมถ้าของเทียมก็จะถูกกว่าประมาณครึ่งนึง
4. ออฟชั่นค่อนข้างครบเพราะมีทั้งเบาะหนัง ซ.ล็อก ก.ไฟฟ้า ก.ปรับมองข้างไฟฟ้า พ.พาวเวอร์

ข้อเสีย
1. กินน้ำมันค่อนข้างเยอะถ้าเทียบรถกับเครื่องยนต์เท่ากัน
2. คุณจะมีข้ออ้างกับแฟนคุณมากขึ้น เพราะคุณต้องเข้าอู่บ่อยเพื่อที่จะดูแลมัน เหมือนเด็กอ่อน ห่างหมอได้ไม่นาน ย้ำคุณต้องมีเวลาเอาใจใส่จริงๆ อู่ซ่อมเปรียบเหมือนบ้านหลังที่สอง(ถามคนใช้ดูซิว่าจริงมั้ย)ซ่อมยากต้องหาช่างที่ซ่อมเปอร์โยโดยเฉพาะ
3. ระบบประสาทคุณจะถูกกระตุ้นตลอดเวลา เพราะเวลาที่คุณขับคุณจะไม่รู้เลยว่ามันจะดับเมื่อไหร่เพราะมันไม่เคยมีอาการบอก โดยเฉพาะเวลาออกต่างจังหวัด ระบบประสาทจะทำงานเพิ่มเป็นสองเท่า ทางที่ดีเพื่อความสบายใจพกเบอร์โทรรถยกไว้ด้วยจะทำให้อุ่นใจมากขึ้น
4. ความ classic เสียงของเครื่องยนต์ทำให้คุณนึกว่ากำลังขับ Volk เต่าอยู่ดู classic ดีแต่ไม่เหมาะกับคนมีครอบครัวแล้วเพราะถ้าคุณกลับดึกภรรยาที่บ้านจะรู้ทันที

ตัวอย่างราคาอะไหล่ ไส้กรองน้ำมันเครื่อง 100 บาท กรองเกียร์ออโต้ 400 บาท สวิตช์กระจกไฟฟ้าตัวออโต้ 800 บาท ไม่ออโต 400 บาท ค่าโอเวอร์ฮอล์เกียร์ออโต้ 20,000 บาท ผ้าเบรค 1,000 บาท หัวเทียนสามเขียว 150 บาท (3 ปี ยังใช้ได้อยู่) คอยล์จุดระเบิด 3,000 บาท ECU 8,000 บาท (มือสอง) ซ่อม ECU 3,000 บาท ประตู้ทั้งบานมือสอง 2,500 บาท เครื่อง MI16 พร้อมเกียร์ 35,000 บาท ผมว่าราคาที่พูดถึงมันพอ ๆ กันรถยุ่นเลย ใช้ดีครับไม่ต้องกลัว ปัจจุบันไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนอะไหล่หายาก ตอนนี้หาง่ายแล้วครับ แต่ถ้าไปเสียต่างจังหวัดละก็เอาเรื่องเหมือนกัน
สรุป น่าใช้ครับเพราะราคาตอนนี้ปีที่ผลิตออกมาแรกๆเหลือไม่ถึงแสน ผมใช้ตัวปี 1990 อยู่ใช้มา 5ปีกว่าแล้วไม่มีปัญหาอะไร
หากคุณเจอช่างที่รู้ใจเกี่ยวกับเปอร์โยโดยเฉพาะซ่อมทีเดียวจบ แต่ขอบอกก่อนว่าอย่าเข้าศูนย์นะเดี๋ยวกระเป๋าฉีก

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

รู้ทันประกันภัย



วันนี้คุยกันถึงเรื่องประกันภัยกันหน่อย เพราะเป็นเรื่องที่คนมีรถทุกคนต้องรู้ ย้ำว่าต้องรู้เพราะกฏหมายบังคับให้รถที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมายทุกคัน ต้องมีประกันประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะประกันภัยภาคบังคับถ้าไม่มีก็ไม่สามารถที่จะต่อภาษีประจำปีได้ เมื่อไม่ได้ต่อภาษีแล้วเอารถออกไปขับบนท้องถนนเมือไหร่ละก็..เสร็จจ่าละ อย่างน้อยก็สองกระทงเบาะๆ 500 บาท ขับไปก็ต้องระวังตัวแจเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาละก็ บอกได้คำเดียวว่าไม่คุ้มครับพี่น้อง จะว่าไปในความคิดของผมเรื่องประกัน ทั้งประกันภัยและประกันชีวิตเป็นเรื่องที่น่าเวียนหัวครับ เพราะภาษากฏหมายที่ถูกบันทึกลงในกรรมธรรม์สัญญาเป็นสิ่งที่อ่านแล้วเข้าใจยากต้องแปลไทยเป็นไทยหลายตลบแถมตัวหนังสือก็เล็ก ยิ่งถ้าใครที่ไม่ชอบการอ่านหนังสือก็จะถามคำเดียวว่าให้เซ็นตรงไหน ธรรมชาติของคนไทยส่วนใหญ่ชอบอะไรที่ง่ายๆสบายๆ เลยเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ตัวแทนขายประกันที่เห็นแก่ได้เอาเปรียบผู้บริโภค ใช้เป็นช่องทางพริ้วเพื่อที่จะไม่จ่ายเงิน ในกรณีที่เกิดเหตุที่ตามเงื่อนไขสัญญา กลายเป็นปัญหาให้ทางการต้องตามล้างตามเช็ด ก็เป็นธรรมดาของผู้ประกอบการละครับที่ลงทุนแล้วจะมุ่งแสวงหากำไรให้มากที่สุด จ่ายยากไว้ก่อนเป็นดี แต่ก็นั่นละครับเมื่อกฏหมายบังคับไว้ก็ต้องทำเพราะจะเป็นการแบ่งเบาภาระผู้ใช้รถ ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจกันทีหลัง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันเข้ามาดูแลแทน ส่วนตัวท่านก็จะได้เอาเวลาไปหาอู่ซ่อมรถดีกว่า
คำถามง่ายๆ ทำไมต้องประกันภัยรถ ? บางครั้งปัญหาจากอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย อาจทำให้คุณต้องเสียเงินค่าซ่อมแซมจำนวนมาก และถ้าหากคุณเป็นฝ่ายผิดละก็บอกได้คำเดียวว่าเละ เพราะคู่กรณีคุณได้ที่ขี่แพะไล่แน่นอน แต่ถ้ามีประกันภาระหน้าที่ในการเจรจาต่อรองและประสานงานก็จะเป็นของตัวแทนประกันทั้งหมด (เพราะรับเงินเราไปแล้วนี่) และหากรถคุณเสียหายก็สามารถซ่อมทำให้คืนสภาพได้ ตามวงเงินเอาประกัน โดยไม่ต้องออกค่าใช้จ่าย (ประกันจ่าย) สบายใจว่าเมื่อใดที่คุณโชคร้ายเกิดอุบัติเหตุโดยที่เป็นฝ่ายผิด หรือมีบุคคลได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ คุณมีผู้รับผิดชอบแทนเรียบร้อยแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนซื้อประกันคุณควรตรวจสอบ บริษัทประกันภัยที่จะซื้อให้ดีก่อนว่าจะมีคุณภาพ มาตรฐานมากน้อยแค่ไหน รับเงินไปแล้วจะให้บริการอย่างที่คุยไว้หรือเปล่า เคยมีใครโดนพลิ้วมาบ้างหรือไม่ ต้องหาข้อมูลให้ดี แต่ปัจจุบันกฏหมายได้เข้มงวดกับบริษัทและตัวแทนขายประกันไว้ชั้นหนึ่งแล้ว หากมีกรณีที่ว่า อย่ารีรอตัดสินใจนานรีบรวบรวมหลักฐานร้องเรียนพานิชย์จังหวัดโดยด่วน
ใครเป็นผู้ได้รับการคุ้มครองจากประกันภัย
อันดับแรกคือตัวคุณหากเป็นประกันชั้น 1 ตัวแทนประกันจะจัดการให้เสร็จสรรพ โดยที่ท่านไม่ต้องกังวลใจใดๆ นอกจากชนคนตาย
อันดับต่อมาคือคู่กรณีของท่านที่เป็นฝ่ายถูกและแน่นอนท่านคือฝ่ายผิด หมดสิทธิ์ต่อรองต้องเรียกประกันมาช่วยเคลียร์ด่วนจี๋ (ให้นึกถึงประกันก่อนตำรวจนะครับช่วยได้เยอะ)
ถัดมามาคือรถของคุณที่เสียหายจากอุบัติเหตุประกันจะเป็นผู้ดูแลค่าใช้จ่าย ตามเงื่อนไขข้อตกลง และรถของคู่กรณีซึ่งเป็นฝ่ายถูกและได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ สุดท้ายบุคคลที่สามที่นอกเหนือจากคู่กรณี เช่นคนเดินบนทางเท้าที่ได้รับผลจากอุบัติเหตุครั้งนั้น (ตามประเภทของประกัน)
ทุกวันนี้มีบริษัทประกันภัยรถยนต์ให้คุณเลือกรับบริการมากมายดังนั้นคุณควรศึกษาบริษัทที่คุณสนใจก่อนตัดสินใจด้วยว่า บริษัทนั้นมีประวัติการให้บริการลูกค้าดีไหม? ใช้เวลาไปถึงที่เกิดเหตุนานเกินไปหรือเปล่า? รับผิดชอบต่อเงื่อนไขสัญญาการประกันภัยหรือมีการหลบเลี่ยง(พริ้ว)มากน้อยแค่ไหน? วางใจได้หรือไม่? พนักงานให้บริการด้วยความสุภาพหรือไม่? ข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถหาได้จากเพื่อนฝูงหรือผู้ที่เคยใช้บริการหรือจากข่าวสารทั่วไปเทียบเคียงกันหลายๆบริษัท อย่าเห็นแก่ตัวเลขที่จำนวนสูงๆ ขอให้ตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่าไม่มีใครยินดีจะจ่ายเงินจำนวนมากๆ โดยไม่มีผลประโยชน์กลับคืนที่คุ้มค่า แม้แต่คุณเองใช่มั๊ย โดยทั่วไปบริษัทประกันภัยที่ดีจะให้บริการปรึกษาปัญหาด้านกฎหมาย ในกรณีที่คุณมีปัญหาจากอุบัติเหตุหรือสูญหาย ดังนั้นการเลือกบริษัทประกันภัยที่ดีมีความรับผิดชอบสูง จะส่งผลต่อเนื่องให้คุณได้ใช้รถอย่างสบายใจ ไม่ต้องรอลุ้นในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ก่อนที่จะตกลงใจซื้อประกันให้กับรถของท่าน ขอให้ตั้งคำถามเหล่านี้ในใจแล้วหาคำตอบจากตัวแทน ค่าบริการแพงเกินจริงหรือไม่ สมน้ำสมเนื้อกับค่าใช้จ่ายในการซ่อมรถหรือไม่ ค่ารักษาพยาบาลที่คุณจะได้รับ และเงินชดใช้ เมื่อรถสูญหายอย่างคุ้มค่า ก่อนตกลงซื้อประกันรถ ขั้นแรกคุณต้องมั่นใจว่าบริษัทนั้นมีความมั่นคงพอ โดยถามพนักงานขายประกันเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบริษัท เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีบริษัทประกันภัยมากมายถูกปิดกิจการลง เนื่องมาจากความผดพลาดทางการเงิน และการล้มละลาย ระวังจะเสียเงินฟรี ! ข้อต่อมาที่คุณควรศึกษาคือ เบี้ยประกัน เบี้ยประกันที่แตกต่างย่อมมีผลถึงระดับความคุ้มครองที่คุณจะได้รับ ควรเลือกประกันที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและรูปแบบประกันที่เหมาะสมกับสถานะการเงินและรูปแบบที่คุณควรได้รับการคุ้มครอง
พื้นฐานการประกันภัยมักแบ่งออกเป็น 4 ประเภทด้วยกัน
แบบประกันภัยภาคบังคับ จะให้การคุ้มครองผู้บาดเจ็บจากรถ
แบบประเภท 1 คุ้มครองรถของผู้ประกันและรถของคู่กรณีเบี้ยประกันต่อปีจะสูงกว่าประเภทอื่นๆ
แบบประเภท 2 คุ้มครองรถของผู้ประกัน
แบบประเภท 3 คุ้มครองเฉพาะรถของคู่กรณี
ถ้าท่านไม่แน่ใจหรือไม่เข้าใจในประเด็นใด ก่อนตัดสินใจซื้อก็ขอให้ให้พนักงานขายประกัน อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของแบบประกันภัย และผลคุ้มครองที่คุณจะได้รับ เบี้ยประกันที่คุณต้องจ่าย และหากมีรายละเอียดข้อไหนที่คุณไม่เข้าใจ ต้องถามให้กระจ่างก่อนตัดสินใจซื้อ เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทประกันภัยต่าง ๆ มีการเพิ่มค่าประกันจนลูกค้ารู้สึกเหมือนโดยโกงราคา ที่เลวร้ายที่สุดคือบริษัทประกันภัยส่วนใหญ่มักหาวิธีเลี่ยงการคุ้มครองด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ที่สามารถพลิกแพลงได้ภายหลัง จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากที่คุณต้องระวังและทำความเข้าใจในเงื่อนไขเหล่านั้นอย่างละเอียด คำแนะนำในการลดค่าธรรมเนียมของคุณ เมื่อมั่นใจว่าคุณได้เปรียบเทียบบริษัทประกันภัย แต่ละแห่งแล้ว ควรถามพนักงานขายประกันถึงส่วนลดพิเศษที่คุณสามารถได้รับในกรณีต่าง ๆ เช่น การใช้รถในราคาไม่แพงมาก สามารถลดเบี้ยประกันภัยได้ บางบริษัทมีส่วนลดให้สำหรับ รถที่ไม่ค่อยขับ , คนขับที่ไม่สูบบุหรี่ ,คนขับที่ไม่ดื่มเหล้า สำหรับครอบครัวที่มีรถมากกว่าหนึ่งคัน หลายบริษัทมีนโยบายลดค่าเบี้ยประกันให้ถึง 15-20 เปอร์เซ็นต์ บางบริษัทมักจะลดราคาสำหรับ รถขนาดเล็ก รถที่มีเครื่องยนต์มีลูกสูบต่ำลงมา รถที่ติดตั้งถุงลมนิรภัย รถที่ติดระบบกันขโมย
รถที่มีระบบเบรกแอนตี้ล็อก ผู้ขับรถซึ่งมีประกาศนียบัตรเกี่ยวกับการขับรถปลอดภัย นักเรียนที่มีเกรดเฉลี่ยสูงตามกำหนด สตรีโสดที่มีอายุอยู่ระหว่าง 30-49 ปี ผู้ขับรถที่มีประวัติดี (ไม่เคยมีคดีเกี่ยวกับการชนมากกว่า 3 ปี) และคนในบริษัท
บริษัทประกันภัยโดยทั่วไป มักคิดค่าบริการไม่ต่างกันกับบริษัทคู่แข่ง ดังนั้นก่อนตกลงซื้อประกัน ควรถามพนักงานขายถึงราคาเบี้ยประกันว่า ตามนโยบายของบริษัทแล้วเบี้ยประกันจะสูงขึ้นไหม หากรถคุณประสบอุบัติเหตุภายหลัง เพื่อพิจารณาก่อนตัดสินใจ
การเรียกค่าคุ้มครองเมื่อรถเกิดุบัติเหตุหรือสูญหาย การแก้ปัญหาหลังเกิดอุบัติเหตุมักทำให้เราต้องยุ่งยาก สิ่งหนึ่งที่จะช่วยคุณได้คือ ปฏิบัติตามคำแนะนำเหล่านี้
1.แจ้งความกับตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น ถูกชนและมีคนบาดเจ็บ หรือชนกับมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีประกัน
2.แจ้งให้บริษัทประกันภัยทราบโดยเร็วที่สุด ทางบริษัทจะช่วยแก้สถานการณ์ และจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับคุณให้ทันที
3.ถ้าตำรวจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แจ้งรายละเอียดทั้งหมดเพื่อลงในบันทึกประจำวัน
4.ให้ความร่วมมือในการตรวจสอบและตอบข้อซักถามของเจ้าหน้าที่ประกัน
5.ให้รายละเอียดและเอกสารที่จำเป็นทั้งหมดแก่เจ้าหน้าที่ประกัน
6.ถ้าคุณรู้สึกว่าการสอบสวนหรือการจัดการที่ได้รับไม่ยุติธรรมควรขอคำแนะนำจากทนายความก่อนนัดตกลงอีกครั้ง
ตามข้อเท็จจริงแล้ว การทำประกันภัยหรือประกันชีวิตเป็นเรื่องที่ดี มีความจำเป็นในการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ช่วยให้เรามีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตมากขึ้น เคยคุยกับคนสิงคโปร์เขาบอกว่าคนที่สิงคโปร์เขาถือว่าการทำประกัน
เป็นเรื่องปกติ ใครไม่ทำถือว่าผิดปกติ ดังนั้นตัวแทนหรือบริษัทประกันเพียงแค่ให้ข้อมูลข่าวสารการดำเนินการของบริษัทตนเองก็พอ ไม่ต้องเดินตื้อลูกค้าเหมือนบ้านเรา และที่สำคัญเขาทำตามเงื่อนไขสัญญาทันทีไม่มีอิดออดเตะถ่วง เพราะเขาถือว่าจ่ายก่อนหากว่าลูกค้าไม่ซื่อสัตย์คิดเอาเปรียบเขาสามารถพิสูจน์กับศาลได้เมื่อไหร่ ลูกค้าคนนั้นโดนเรียกเงินคืนแถมค่าเสียหายต่างๆอีกอักโข อยากเห็นบ้านเราเป็นแบบนั้นบ้างแต่ก็
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้น หากเรายังขาดวินัยแลความซื่อสัตย์

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ขับอย่างไรให้ประหยัดน้ำมัน



เอ๊ะ ฉันก็ขับรถมานานแล้วนายเป็นใครยังจะมาสอนกันขับรถอีก อย่าถึงขนาดนั้นเลยนะครับไม่บังอาจหรอก ก็อย่างว่าถ้าผมเป็นพวกเศรษฐีมีเงินขับรถคันโตๆเครื่องยนต์ใหญ่ๆราคาน้ำมัน ก็คงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดหรืออยากเปลี่ยนรถใหม่ตอนไหนก็ได้ แต่บังเอิญว่าผมดันเกิดมาจนน้ำมันแต่ละหยดจึงมีค่ามากและอยากใช้รถนานๆเพราะ ไม่มีเงินถุงเงินถังที่จะไปเปลี่ยนคันใหม่ ดังนั้นจึงต้องหาวิธีที่จะให้รถที่มีอยู่ได้ใช้งานอย่างประหยัดและทนทานให้ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปให้มากที่สุด จริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือต้องปิดบังอะไรเลยยิ่งบางเรื่องเขา พิสูจน์กันมาแล้วว่าเป็นจริงครับเพียงแต่นำมาเล่าสู่กันฟังสำหรับท่านที่ยัง ไม่ทราบหรือเคยทราบแล้วแต่ลืมหรือท่านที่อาจจะยังไม่รวยนัก(ไม่ทราบว่ามี หรือเปล่าในที่นี้)อยากประหยัดเหมือนผมครับ ทีนี้ก็มาดูกันว่าผมทำอะไรบ้าง
1.อันดับ แรกก็เริ่มจากการขั้นตอนเติมน้ำมันก่อน ก็มาจากหลักวิทยาศาสตร์ชั้นประถมเรื่องการขยายตัวของมวลสารที่แปรผันตาม อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น พูดง่ายๆคือถ้าอากาศร้อนก็จะทำให้อะไรๆมันขยายตัวนั่นเองรวมทั้งน้ำมันด้วย ดังนั้นการเติมน้ำมันจึงควรเติมเวลาที่อากาศเย็น เวลาที่ดีที่สุดคืออยู่ในช่วง 00.00-06.00 น.ครับ รองลงมาก็ช่วง 22.00-00.00 น.และช่วง 06.00-09.00 น. สรุปคือ ตั้งแต่ สี่ทุ่มถึงเก้าโมงเช้าคือช่วงเวลาที่เติมน้ำมันแล้วจะได้ปริมาณมากกว่าช่วง 09.00-22.00 น.เพราะว่าน้ำมันจะยังคงรูปแบบอยู่หรือขยายตัวเพียงเล็กน้อยซึ่งจะประหยัด กว่าช่วง 09.00-22.00 น.อยู่ 2-5เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เช่น ช่วง 09.00-22.00 น.เติมเต็มถัง 40ลิตร แต่ถ้าเติมช่วง 00.00-06.00 น.เต็มถังจะประมาณ 37.5-38.5 ลิตร และถ้าเติมช่วง 22.00-00.00 น.หรือ 06.00-09.00 น.เต็มถังก็แค่ 38-39 ลิตร ก็ลองคำนานดูราคาน้ำมันปัจจุบันดูเองครับว่าประหยัดได้กี่บาทกี่เปอร์เซ็นต์ คนส่วนมากมักจะเติมน้ำมันหลังเลิกงานก่อนเข้าบ้านช่วง 17.00-20.00 น.อันนี้ถ้าเป็นคนช่างสังเกตุหน่อยจะพบว่าตอนเช้าขีดระดับน้ำมันจะตกลงต่ำ กว่าตอนที่มาจอด และถ้าเติมตอน 06.00 น.(แต่ไม่เต็มถัง)ขับไปทำงานตอนเที่ยงจะออกไปทานข้าวจะพบว่าขีดระดับจะสูง ขึ้นกว่าตอนที่มาจอด อันนี้ผมก็ลองทำแล้วพบว่าเป็นจริงทุกประการ ที่สำคัญคือเวลาเติมน้ำมันเด็กปั๊มมักจะขี้เกียจทอนเศษเงินจึงมักกดยัดเยียด แก๊กๆๆๆๆจนล้นหรือจนพอใจโดยที่จ้าวของรถก็ไม่สนใจ เช่นที่ 487บาทหัวเติมก็ตัดแต่เด็กปั๊มมักจะเข้นให้ถึง 500 บาทเป็นต้น อย่าลืมว่าถังน้ำมันจะมีรูหายใจหรือรูระบายแรงดันในถังการเติมน้ำมันมากเกิน ไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆเพราะพอมันขยายตัวน้ำมันก็จะถูกปล่อยทิ้งออกไปตอนที่ รถวิ่งหรือกระแทก อันนี้ควรสนใจกันบ้างเติมแค่หัวจ่ายตัดหรือเลยไปไม่เกิน 5 บาทก็ยังไม่เสียหาย เพราะจุดนี้เป็นจุดที่เสียหายมากๆเลยกับการเติมน้ำมันมาปล่อยทิ้งเจ้าของ ปั๊มได้กำไรจากยอดขายที่สูงขึ้น แต่เราขาดทุนเพราะเติมน้ำมันมาทิ้งประมาณครึ่งลิตร
2.ลำดับต่อมาก็มา ที่ขั้นตอนการสตาร์ทรถและอุ่นเครื่อง ทำไมต้องอุ่นเครื่องก็เพราะว่าเครื่องยนต์ที่ดีและสึกหรอน้อยที่สุดประหยัด ที่สุดจะทำงานอยู่ในช่วง 90-95 เซลเซียส แต่ด้วยความเร่งรีบของสังคมปัจจุบันทำให้คนส่วนใหญ่มักจะขึ้นรถสตาร์ท เครื่องติดแล้วก็ขับออกไปเลยขณะที่เครื่องเย็นอยู่การหล่อลื่นจึงยังไม่ สมบูรณ์ทำให้ต้องใช้กำลังฉุดลากมากกว่าปกตินอกจากจะเปลืองน้ำมันแล้วยัง สึกหรอมากด้วย บางคนก็ใจเย็นเหลือเกินติดเครื่องทิ้งไว้นาน 4-5นาทีกว่าจะออกรถซึ่งก็อาจจะเกินความจำเป็นไปหน่อยมันดีต่อเครื่องยนต์แต่ ก็สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยใช่เหตุ และวิธีที่เหมาะสมของการอุ่นเครื่องคือ ต้องปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดก่อนสตาร์เครื่อง(ลดโหลดของเครื่องยนต์ให้ น้อยที่สุด)และต้องอุ่นเครื่องไว้ 30-60 วินาทีในหน้าร้อนหรือ 45-90 วินาทีในหน้าหนาวหรืออากาศเย็นให้เข็มความร้อนขึ้นมาถึงขีดต่ำสุดก็เพียงพอ แล้วจากนั้นจึงค่อยเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องการ บางคนจะถามว่าแล้วขับมาจอดซักพักเครื่องยังร้อนอยู่เวลาจะขับอีกต้องอุ่น เครื่องหรือเปล่า อันนี้ก็ถือว่ายังจำเป็นอยู่เพื่อให้เวลากับน้ำมันหล่อลื่นที่ค้างอยู่ใน ส่วนต่างๆของระบบที่เริ่มมีความแตกต่างกันของอุณหภูมิกันแล้วได้กลับไปหมุน วนถ่ายเทความร้อนซึ่งกันและกันเพื่อจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง เพียงแต่ระยะเวลาในการอุ่นเครื่องใช้แค่ 10-15 วินาทีก็เพียงพอแล้ว
3.การ ออกตัว หลายคนยังเป็นประเภทถ้าไม่ได้ยินเสียงล้อบดถนนตอนออกตัวแล้วไม่สบายใจ การออกตัวเป็นหัวใจสำคัญของการประหยัดและลดการสึกหรอด้วยเช่นกัน เพราะเกียร์ 1 คือเกียร์ที่กินน้ำมันมากเป็นอันดับสองรองจากเกียร์ถอยหลัง เพราะต้องใช้แรงฉุดอย่างมหาศาลที่จะลากตังถังจากหยุดนิ่งให้เคลื่อนตัว การออกตัวแรงๆนอกจากจะเปลืองเชื้อเพลิงแล้วยังสึกหรอมาด้วยทั้งยางและ เครื่องยนต์ ดังนั้นการออกตัวที่ดีจึงควรทำอย่างนิ่มนวลที่สุด เกียร์ออโต้ก็ควรค่อยๆปล่อยเบรคและกดคันเร่งเบาๆอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความเร็ว ส่วนเกียร์ธรรมดาก็ค่อยไปล่อยครัชท์แล้วกดคันเร่งเลี้ยงรอบเครื่องไว้ที่ 1000-1200 รอบ ทำได้ดังนี้ก็จะนิ่มนวลประหยัดและสึกหรอต่ำ ไม่ควรออกตัวด้วยเกียร์ 2 มันให้อัตราเร่งสูงกว่าก็จริงแต่การจ่ายน้ำมันก็มากไม่ต่างจากเกียร์ 1 เท่าไหร่แต่ต้องแลกมาด้วยความสึกหรอของเครื่องยนต์ที่มหาศาลเครื่องจะหมด กำลังอัดเร็วกว่าปกติมาก สุดท้ายก็ยิ่งเปลืองน้ำมันแถมควันกลบตูดอีกต่างหาก ไม่นานก็ต้องบูรณะครั้งใหญ่ซึ่งจะเร็วกว่าพวกที่ใช้ตามปกติเป็นแสนกิโลเมตรหรือ กว่า 2ปีเลยทีเดียว(เสียตังค์โดยใช่เหตุ)
4. การขับขี่ หลังจากออกตัวมาแล้วก็ต้องเร่งเครื่อง เกียร์ออโตก็ได้พูดไปแล้วคือกดคันเร่งลงอย่างนิ่มนวลต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และควรใช้ O/D ในความเร็วสูงซึ่งจะทำให้รอบต่ำลงมาช่วยประหยัดน้ำมัน ส่วนปุ่ม ETC นั้นถ้าไม่ได้เข่งกับใครก็ไม่ควรจะใช้บ่อยนักเพราะมันก็คือการลากเกียร์นั่น เองซึ่งจะทำให้เกิดการสึกหรอมากขึ้น เปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นก็ยังส่งผลต่ออายุงานของเกียร์ด้วย ที่นี้มาว่ากันที่เกียร์ธรรมดา การเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นควรจะทำให้เร็วที่สุดและไปถึงเกียร์สูงสุดไวที่สุด โดยการใช้รอบเครื่องเป็นหลักและไม่ควรลากรอบเครื่องสูงเกินไป ดังนี้
4.1 เครื่องขนาดไม่เกิน 1800CC ควรเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทันทีที่ 2000 รอบ ลดเกียร์ต่ำลงทันทีที่ 1000-1200 รอบ และเลี้ยงความเร็วที่เกียร์สูงสุดไว้คงที่ที่ 2000-2200 รอบ(จุดใดจุดหนึ่ง)
4.2 เครื่องขนาด 1800-2200CC ควรเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทันทีที่ 2200-2500 รอบ ลดเกียร์ต่ำลงทันทีที่ 1200-1400 รอบ และเลี้ยงความเร็วที่เกียร์สูงสุดไว้คงที่ที่ 2200-2500 รอบ(จุดใดจุดหนึ่ง)
4.3 เครื่องขนาดมากกว่า 2200CC ควรเปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทันทีที่ 2500-2700 รอบ ลดเกียร์ต่ำลงทันทีที่ 1300-1500 รอบ และเลี้ยงความเร็วที่เกียร์สูงสุดไว้คงที่ที่ 2500-2700 รอบ(จุดใดจุดหนึ่ง)
4.4 เครื่องที่แบกหอยหรือเทอร์โบมาด้วยก็บวกจากที่กล่าวมาไปอีกไปอีก 500 รอบ
4.5 เครื่องยนต์ที่เป็นดีเซลซึ่งมีแรงบิดสูงกว่าเครื่องเบนซินก็จะใช้รอบแบบเดียวกับข้อ 4.1
4.6 เครื่องยนต์ที่เป็นดีเซลที่แบกหอยหรือเทอร์โบมาด้วยก็จะใช้รอบแบบเดียวกับข้อ 4.2
ดัง นั้นจะเห็นได้ว่าความเร็วที่เกียร์สูงสุดที่ประหยัดน้ำมันและสึกหรอต่ำสุด จะแตกต่างกันไปตามขนาดและประเภทของเครื่องยนต์ ส่วนที่ทางการประชาสัมพันธ์ว่าความเร็วที่ประหยัดและสึกหรอต่ำอยู่ที่ 60-90 กม./ชม.นั้นคือรุ่นขนาดเล็กที่มีขนาดไม่เกิน 1,800 CCและเครื่องดีเซลครับเพราะรถกลุ่มนี้คือรถที่มำจำนวนมากที่สุดในบ้าน เรา ส่วนกลุ่มที่เครื่องยนต์มีขนาดใหญ่หรือติดเทอร์โบความเร็วก็จะสูงขึ้นไปตาม ลำดับเช่นเครื่องขนาด 2,000 CC ความเร็วประหยัดน้ำมัน(แต่ไม่สูงสุด)อยู่ที่ 110 กม./ชม.เป็นต้น การขับขี่ที่ดีควรรักษาความเร็วที่คงที่ไว้อย่างเสถียรภาพมากที่สุดเท่าที่ทำได้(อันนี้พวกรถที่มีการตั้งความเร็วอัตโนมัติจะได้เปรียบ)
5. ความเร็วปลายหรือความเร็วสูงสุดในการเดินทาง ถ้ามีการวิ่งระยะยาวๆไกลๆและต้องการใช้ความเร็วสูงแต่ประหยัดน้ำมันและการ สึกหรอต่ำ อันนี้ต้องอาศัยธรรมชาติเรื่องแรงเสียดทานและแรงโน้มถ่วงมาช่วย ซึ่งจะใช้ได้เฉพาะรถคันโตๆน้ำหนักมากๆเท่านั้น จะมีจุดๆหนึ่งที่หน้ายางจะสัมผัสถนนเต็มหน้าพอดีและตั้งฉาก(ไม่เหมือนกับที่ เห็นว่าเหมือนยางแบนตอนจอดอยู่) คือเหมือนว่าน้ำหนักตัวของรถน้อยลงนั่นคือจุดที่ก่อนที่รถจะลอยตัว(แต่ชาว บ้านมักเรียกรถลอยตัว)ซึ่งเป็นจุดสุดท้ายที่รถยังคงเสถียรภาพการเกาะถนนอยู่ รถแต่ละรุ่นจะได้ความเร็วที่ไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับน้ำหนักรถและตัว สปอยด์เลอร์ที่ติดมา จุดนี้หาได้โดยค่อยๆกดคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงจุดๆหนึ่งจะพบ ว่าความเร็วรถจะเพิ่มขึ้นเองอย่างรวดเร็วจนต้องถอนคันเร่ง เช่นโดยทั่วไปรถขนาด 2000-2200CC จะอยู่ที่ 130-150 กม./ชม.เมื่อหาความเร็วดังกล่าวได้แล้วเวลาที่เดินทางก็ควรใช้ความเร็วนั้นๆ ส่วนที่บอกว่าไม่เหมาะกับรถเล็กๆนั้นก็เพราะว่าน้ำหนักรถน้อยถ้าขับเร็วก็จะ เกิดแรงต้านจนหนีศูนย์ยิ่งเปลืองเชื้อเพลิงและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ และความเร็วที่ว่าของรถเล็กๆก็อยู่ราวๆ แค่110-120 กม./ชม.เท่านั้น ยิ่งบางคนไปติดสปอยด์เลอร์มาท่านทราบหรือไม่ว่าสปอยด์เลอร์จะเริ่มทำงานเกิด แรงกดและลมหมุนวนจนเกิดแรงส่งที่ความเร็วเกิน 120 กม./ชม.ขึ้นไป ดังนั้นการใส่สปอยด์เลอร์ในรถเล็กๆจึงเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้รถและเปลือง เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น ในรถเล็กนั้นนอกจากความสวยงามและประดับไฟเบรคแล้วสปอยด์เลอร์ก็ไม่ได้ช่วย อะไรเลยเพราะจะเกิดแรงหนีศูนย์ก่อนสปอยด์เลอร์จะทำงานแทนที่จะช่วยในการทรง ตัวกับไปเสริมแรงส่งหนีศูนย์ไปอีก รถเล็กที่ติดสปอยด์เลอร์ในความเร็วสูงจึงควบคุมยากกว่ารถที่ไม่ติด สปอยด์เลอร์ครับ บางคนก็เถียงว่าถ้ามันไม่ดีทำไมมันติดตั้งมาจากโรงงานเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องทางธุรกิจครับแต่รุ่นเดียวกันไม่ติดก็มี ผมเคยไปซื้อรถที่บอกว่าแถมสปอยด์เลอร์ด้วยผมบอกว่าถ้าผมไม่เอาสปอยด์เลอร์ นี่จะลดราคาให้ผมเท่าไหร่ คำตอบคือ 10000 บาทครับผมก็เลยให้เขาถอดออก ท่านก็ลองพิจรณาดูเองก็แล้วกันเพราะถ้าผมอยากติดจริงๆผมมาหาข้างนอกทำสีด้วย ก็ไม่เกิน 5000 บาทหรอกครับ ยิ่งบางรุ่นก็บังคับมาเลยถอดไม่ได้เพราะเจาะรูไว้แต่เราเป็นคนจ่ายตังค์นะ ครับอย่าลืม การเดินทางไกลควรหยุดพักรถทุก 2 ชม.หรือ 200 กม.การหยุดแต่ครั้งไม่ควรต่ำกว่า 15 นาทีควรจอดในที่ร่มและเปิดฝากระโปรงหน้าไว้เพื่อให้น้ำมันเครื่อง/น้ำมัน เกียร์หรือน้ำมันเบรคได้คายความร้อนจะได้กลับมามีคุณสมบัติที่ดีอีกครั้ง
6. การเบรค ถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงการเบรคที่รุนแรงทางที่ดีควรใช้การลดความเร็วและ การลดเกียร์ลงมาเรื่อยๆ พูดง่ายๆก็ใช้ความเร็วให้เหมาะสมนั่นแหละ เพราะการเบรคที่รุนแรงนอกจากการสึกหรอของระบบเบรคแล้ว ยังมีน้ำมันเชื้อเพลิงที่ค้างในห้องเผาไหม้จำนวนมาก(เพราะปล่อยคันเร่งทันที ทันใด)ที่อาจจะซึมผ่านไปผสมกับน้ำมันเครื่องส่งผลให้น้ำมันเครื่องเสื่อม สภาพเร็วกว่าปกติและส่งผลต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์ตามมา
7. การถอยรถ ในรถเกียร์อัตโนมัติคงไม่มีปัญหาเท่าไหร่กับการถอยหลังเพราะยังไงก็ต้องหยุด รถให้สนิทอยู่แล้วจึงจะโยกเข้าเกียร์ถอยหลังได้ แต่ในรถเกียร์ธรรมดาควรทำอย่างไร สิ่งที่ควรทำก็คือทำแบบเกียร์อัตโนมัติเขาโดยเหยียบเบรคให้รถหยุดสนิทก่อน แต่ถึงแม้รถจะหยุดสนิทแล้วก็ควรทิ้งระยะเวลาไว้เล็กน้อยประมาณ 3-5 วินาทีก่อนเข้าเกียร์เพื่อให้เวลากับเพลาหรือเฟืองที่ยังมีแรงเฉื่อยอยู่ได้ หยุดหมุนเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเมื่อต้องหมุนไปอีกทางในทางกลับกันก็จะเกิดการสึกหรออย่างมากและ ยังเปลืองเชื้อเพลิงมากขึ้นที่ต้องใช้แรงฉุดมากขึ้นหรือบางทีก็ส่งเสียงแก๊ก ๆออกมาทีเดียว ที่ผมทำอยู่ก็ใช้การนับในใจ 1......2.....3.....4.......5 แล้วจึงเข้าเกียร์ถอยหลังซึ่งจะไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมา โดยทั่วไปแล้วเกียร์ถอยหลังจะมีอัตราทดและแรงมากที่สุดกว่าทุกเกียร์(มีไม่ กี่รุ่นที่ทำเกียร์ 1 สูงกว่าเกียร์ถอยหลัง)ดังนั้นจึงเป็นเกียร์ที่ใช้น้ำมันมากที่สุดจึงควร นิ่มนวลในการเร่งและปล่อยครัชท์มากที่สุด
8. การจอดรถ ก่อนถึงที่หมายซัก 100-200 เมตรควรปิด AC หรือคอมเพรสเซอร์ของแอร์เหลือไว้เฉพาะพัดลมเพราะยังคงมีความเย็นในระบบอยู่ การกระทำดังกล่าวนอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้ว พัดลมยังช่วยเป่าไล่ความชื้นออกจากตู้แอร์ทำให้ไม่มีกลิ่นอับชื้น ความชื้นในตู้แอร์หมดไปการผุกร่อนของตู้แอร์และระบบก็ลดลง ซ้ำยังไม่เป็นที่สะสมของเชื้อโรค-เชื้อราโดยเฉพาะเชื้อริโอจีอีโบลา(ที่ กำลังดังเพราะคร่าไปหลายชีวิตแล้ว) เมื่อถึงที่หมายและรถจอดสนิทแล้วก็ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมด ฟังเสียงว่าพัดลมไฟฟ้าทำงานอยู่หรือเปล่าควรปล่อยให้พัดลมทำงานจนหยุดก่อน จึงดับเครื่องยนต์ อย่าลืมดึงเบรคมือขึ้นด้วยไม่งั้นมีสิทธิ์เป็นข่าวได้เหมือนกัน ที่เห็นมามากคือมักจะเบิ้ลเครื่องหรือเร่งเครื่องขึ้นไปรอบสูงๆก่อนดับ เครื่องโดยเข้าใจว่าจะทำให้เครื่องติดง่ายในครั้งต่อไปอันนี้อันตรายต่อ เครื่องยนต์มาก เพราะน้ำมันเชื้อเพลิงจะตกค้างและปนไปอยู่กับน้ำมันเครื่องทำให้น้ำมัน เครื่องเสื่อมสภาวะการหล่อลื่นสึกหรอมากขึ้น แถมน้ำมันที่ค้างก็เหมือนการทิ้งไปเปล่าๆ
9. ต่อมาก็เป็นเรื่องลมยาง ควรจะตรวจเช็คลมยางอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 10 วันครั้ง ที่ผมทำอยู่คือเพื่อกันลืมผมจะเช็ควันที่ลงท้ายด้วยเลขศูนย์ครับ ลมยางก็ต้องได้ตามที่บริษัทผู้ผลิตเขาแนะนำซึ่งส่วนใหญ่จะมีในคู่มือหรือบาง รุ่นก็ติดไว้ให้ตามขอบประตูที่รถให้เลย ถ้าลมยางอ่อนเกินไปก็จะทำให้รถซดน้ำมันมากขึ้นและขอบยางก็จะสึกมากขึ้นอายุ ยางก็ลดลง แต่ถ้าแข็งเกินไปมันประหยัดน้ำมันก็จริงแต่ยางก็จะสึกตรงร่องกลางๆมากเสื่อม เร็วเช่นกันซ้ำร้ายยังส่งผลกระทบไปถึงลูกหมาก ลูกปืนที่จะกลับบ้านเก่าเร็วกว่าปกติ
10. สุดท้ายก็คงเป็นเรื่องการเก็บสัมภาระไว้ในรถ ไม่ควรเก็บของไว้ในรถมากเกินไปควรเก็บที่จำเป็นจริง(แต่ส่วนใหญ่มักอ้างว่า จำเป็น) เพราะของที่ใส่ในรถก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักรถก็ทำให้กินน้ำมันโดยใช่เหตุเช่นกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องอื่นๆอีกเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับการเดินทางเช่นการศึกษาเส้น ทาง การเลือกเส้นทางในการเดินทาง ให้หลีกเลี่ยงเส้นทางที่รถติด(มากๆ)หรือเลือกใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด เป็นต้น สิ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้คงบังคับให้ปฎิบัติไม่ได้หรือทำทั้งหมดก็คงยาก แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆมันก็จะเป็นนิสัยแล้วค่อยเพิ่มสิ่งที่ยังไม่ไดทำเข้าไป เรื่อยๆ สุดท้ายวันหนึ่งคุณจะพบว่าตัวเองเป็นคนขับรถที่ดี ประหยัดน้ำมันและรถที่ใช้งานอยู่ก็ทนทานไม่จุกจิกเหมือนรถข้างๆบ้านที่ออกมา พร้อมๆกัน ว่างๆก็ช่วยไปบอกต่อเขาหน่อยก็แล้วกันนะครับ