Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

NISSAN NV 1600 "pick- up สไตล์ sport"



ด้วยงบผ่อนแค่ 4000 บาท / เดือน ท่านก็จะได้รถ sport สไตล์ pick- up ใช้แบบส่วนตั๊ว ส่วนตัวแบบหนุ่มสาว 2 คัน หรือหากินก็บรรทุกได้ ร่วม 500 กิโลกรัมก็ดีไปหมดหรือจะเอา มาแต่งเป็นรถขับซิ่ง ถึง 200 กม./ ชม. ก็ไม่ยาก ถ้าไม่เพราะว่าเป็นตลาดคันหนึ่งที่แม้จะไม่นิยมมาก แต่ก็มีคนสนใจตามหากันแยะทำให้ NV รถทรง PICK UP ของ NISSAN คันนี้มีค่าตัวที่เลยหลักแสนไปไกล ผิดกับรถ DAIHATSU MIRA ที่ราคาสภาพ 2 2 ที่ นั่งหลังคาไพเบอร์ทรงแวนนั้นราคาป้ายแดงใกล้กับ NV แต่พออายุเก่าพอ ๆ กันก็หล่นฮวบมากกว่า NV เพราะคนไม่ค่อยนิยมและไม่อาจนำไปแต่งและดัดแปลงได้มากเท่า NVก็อย่างที่ทราบกันเกือบทั่วไปเจ้า “ NISSAN NV" ชิ้นงานที่ สยาม กลการในยุคของคุณหญิงพรทิพย์ ณรงค์เดชหมายมั่นว่าจะ สามารถปลุกปั้นให้เป็นรถยนต์แห่งชาติแบบเดียวกับ PROTON SAGA ของมาเลเซียที่รับเอาเทคโนโลยีของ MITSSUBISHI มาใช้ ขณะที่คุณหญิงนั้น ชาติดีกับ NISSAN มากและขณะนั้นสยามกลการจัดว่ากำลัง รุ่งมากงาน NATIONAL CAR จึงเป็นรูปเป็นร่างในสไตล์ของ “ ULTI – BODY " คือในโคลงสร้างเดียวของ “NV “ นั้นสามารถนำไปพัฒนาเป็นรถออกมาได้ตั้งแต่ทรงกระบะพร้อม ดัดแปลง, ทรง PICK – UP สำเร็จรูป, ทรงตรวจการ 3 ประตู, ทรง SEDAN VAN 5 ประตู เรียกว่า ตัวเดียวสามารถขึ้นรูปเป็นรถใด ๆ ก็ได้สุดแต่ลูกค้าจะ ORDER หรือลูกค้านำไปต่อเติมด้วย ระบบไฟเบอร์กลาสส์ที่กำลังฮิตขณะนั้น การเกิดของ NV นั้นเกิดมาในยุคที่ สยามกลการมีรถขนาดเล็กขาย 2 รุ่น คือ SUNNY 1300 FF, และ SENTRA 1500 เท่ากับว่า NISSAN NV เป็นรถอีกรุ่นให้เลือกในสนนราคาต่ำกว่า 300,000 บาท เป็นการกำกับตลาดให้สินค้า NISSAN ของสยามกลการดีแบบรถในด้านราคาให้ เลือกตั้งแต่ระดับเดียวกับรถเก่ามือสอง แล้วค่อยไต่ จนถึงรุ่นตรวจการ 5 ประตู ในสนนราคา 40 กว่า หมื่น ในการนี้หากสยามกลการสามารถประสบความสำเร็จกับ NISSAN NV ได้ต่อไปการหมดยุคของ SUNNY FF ก็จะมีรถทดแทน ขณะเดียวกันก็รองรับตลาด ระดับล่างได้ด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าอนาตดของ NV ต้องโปร่งใส แต่แล้วในนยุคของ พณ. ท่านอานันท์ ปันยาชุน นายกผู้ดีได้ประกาศยอม ให้รถประกอบนอกเข้ามาขายได้ เท่ากับสยบตลาดกึ่งผูก ขาดของบริษัทรถยนต์ในประเทศที่ขายดิบขายดีผลิตไม่ทัน และ ยังขึ้นราคาเป็นว่าเล่น เพราะ SUPPLY ไม่พอกับ DEMAND ( ห้ามรถ CBU เข้า )
การเปิดประตูให้รถ CBU เข้ามาจุงทำลายกำแพง กฏเกณฑ์ มาเป็น SUPPLY มากกว่า DEMAND เพราะการนำรถ CBU เข้ามานั้น สามารถนำเข้าไม่อั้นเนื่องจากปริมาณการผลิตของบริษัทแม่ มากกว่า ทั้งสามารถนำรถยี่ห้ออื่น ๆ เข้ามาขายด้วย เท่ากับว่าผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น ก็เลยกระทบทางอ้อมต่อโครงการ ของ NISSAN NV ที่กลายเป็นว่าราคาชักไม่สมกับรถโดยเฉพาะรุ่นตรวจการ 5 ประตูในราคา 40 กว่าหมื่นนั้น สามารถซื้อรถ เก่งอย่าง HYUNDAI EXCLE ได้ หรือรถเก๋งแท้ ๆ ประกอบนอกได้หลายยี่ห้อ การจะนำเอา NV มาดัดแปลงก็เลยยุติไป ผู้คนเลือกซื้อ NV เพราะอยากใช้เฉพาะแต่จะไม่ค่อยซื้อมาต่อเติมดังแต่ ก่อนและเป็นเหตุหนึ่งที่ต้องเลิกการผลิตรุ่น NV – VAN ไปเหลือไว้แต่ NV PICK - UP เท่านั้น ซึ่ง NV PICK –UP นั้นมียอดขายไม่หวือหวา เท่าไรนัก มีลูกค้าประเภทนำไปขับสนุก ๆ เพราะราคาแค่ 30 กว่าหมื่น หรือพวกนักธุรกิจขนาดเล็หกที่อยากขับรถนุ่มอย่างเก๋ง แต่สามารถบรรทุกของได้อย่างรถกระบะ ตลอด จนวัยรุ่นวัยซิ่งที่นำไปแต่งรถสวยงาม เพราะอย่าง น้อย ๆ การทรงตัวก็ดีกว่ารถปิกอัพดีเซล สมรรถนะก็เปรี้ยวพอจะกัดกับรถเก๋งขนาด 1600 ได้สบาย หน้าตาก็สวยงามแต่ง ขึ้นกว่า MAZDA FAMILIA กระบะ หรือดีกว่าไปจับรถ เก่าราคาเดียวกันแต่ต้องนั่งซ่อม แต่กับ NV ในสภาพ 165,000-250,000 บาทนั้น เป็นวัยที่เหมาะสมเพราะว่ารถ ยังโทรมมาก แม้ว่าบางครั้งจะเห็นลงประกาศขายกันที่ ต่ำกว่า 13 หมื่น แต่สภาพนั้นแย่กว่า COROLLA KE – 70 ซะอีกจึงไม่น่าจับ ยอมแพงหน่อยหาสาเหตุตัวถังดี ๆ เครื่อง 50 % ระดับเร่งรอบจัดมีควันขาวออกนิด ๆ จะดีกว่าเพราะลำบากสุดก็แค่ยกเครื่อง GA 16 เดิมทิ้ง คว้าเอามือสองจากญี่ปุ่นนในราคา แถว ๆ 18,000 – 22,000 บาทใส่ ก็ใช้ดี หรือใจ กล้ายอม ปาไปสัก 30,000 บาทกะไว้ไล่ CIVIC VTEC หรือ NISSAN PREMERA ก็ยกเอาเครื่อง SR 20 DET พลัง 205 แรงม้าในแบบหัวฉีด TURBO รับรองว่าความเร็ว 200 กม./ ชม. อยู่ แค่เอื้อม โดยไม่ต้องเกรงว่าจะเอาไม่อยู่เพราะการ แก้ไขช่วงล่าง NV นั้นง่ายดายมาก เนื่อง จาก NV ก็คือ SENTRA และ SENTRA ก็คือ PRESEA แล้ว PRESEA ก็ใช้วิทยาการเดียวกันกับ PREMIRA ก็เท่ากับว่า NV สามารถใช้อะไหล่ร่มของ PREMIRA ได้ จึงไม่อยากที่จะหาของเก่ามาโมดิฟาย ให้ NV เกาะถนนพอจะซ่าแบบ SPORT – UP ได้เต็ม ๆ ข้อได้เปรียบของ NV PICK - UP คือน้ำหหนักรถเบาต่ำกว่า 1,000 กิโลกรัม รวมทั้งโคลงสร้างแข็งแรงกว่า เพราะเขาเตรียมมาให้ใช้บรรทุกของได้ถึง 800 กิโลกรัม การทที่ โครงสร้างแบบโมโนคอดนั้น จะบิดเบี้ยว ในการใช้อย่างรุนแรงน้อยกว่าแบบเก๋ง
ทำให้การจับ NV นั้นนอกจากราคาถูกและนำไปตกแต่งได้ดีแล้ว ยัง เลือกใช้งานหลายแบบสุดแต่เจ้าของ
รายละเอียดของ NV PICK - UP เป็นรถขนาดยาว 4 เมตรเศษ สามารถแก้ไขระยะความยาวด้านท้าย ให้สั้นเพื่อความคล่องได้ไม่ยาก เพราะเป็นรถขับหน้า ฐานล้อ 2.4 เมตร เพียงพอ ต่อการทรงตัว และเป็นรถที่แม้ท้องจะสูง 145 มม. แต่มีสภาพไม่ลอยเพราะ เป็นรถไม่มีชัชซี ล้อทั้ง 4 ทำงานอิสระแบบแมคเฟอร์สันสตรัท โดยด้านหน้ายึดด้วยปีกนกทรง L - ARM ใหห้วงเลี้ยวแคบมาก ด้านหลังแบบคานแข็งที่ทนทาน สามารถ แก้ไขให้นุ่มหรือแบบ น้ำหนักมากได้ไม่ยาก มีข้อเสียคือล้อให้มาขนาดเล็กไปหน่อย เวลา ทิ้งโค้งแรง ๆ ท้ายจะลอยไม่ เกาะ หากได้หันรถมาใส่ยางขนาด 195/55x15 กับกระทะ 6x15 นิ้ว สภาพรถจะเกาะกว่านี้โดยไม่มีผลต่อ พลัง 100 แรงม้าของ GA 16 รถยังคงแล่นได้ดีอย่างเกียร์ 3 สามารถลากได้ถึง 131 กม/ ชม. และเกียร์ 4 เกิน 150 กม./ ชม. บางคัน ยังคุยว่าขับถึง 180 กม./ ชม. ก็ มี โดยมีข้อดีที่เครื่อง GA 16 นี้เป็นแบบฝา DOHC ขับด้วยโซ่ รอบ จัดถึง 7200 รอบ หากขับดี ลากเกียร์แต่ละจังหวะสัมพันธ์กัน ประโยชน์จากเฟือง ท้ายที่ทดไว้ 4.167 นั้น อำนวย ต่อการซิ่งในสภาพรถเปล่านั่ง 2 คนอย่างมาก แถมในยามนั่ง 2 ต่อ 2 จากกรุงเทพ- พัทยา เจ้า NV ก็เกรงใจกระเป๋าเจ้าของในระดับเซฟน้ำมันระหว่าง 12 – 14 กม./ ลิตร ขับ เกียร์ 5 ไม่เกินความเร็วของตำรวจทางหลวงทำได้ ถึง 15.5 กม./ ลิตร เห็น ไหมว่า NV PICK – UP นั้นพร้อมสรรพสำหรับคนกระเป๋าเบาแต่เท้าหนักแค่ไหน

วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เบนซ์-บีเอ็มฯ ชิงนำรถหรูงัดกลยุทธ์-สินค้าดึงลูกค้า





สองค่ายท็อปรถหรู “เมอร์ เซเดส-เบนซ์” และ “บีเอ็มดับเบิลยู” เปิดศึกชิงตำแหน่งเบอร์ 1 ตลาดพรีเมี่ยม งัดกลยุทธ์ทุกรูปแบบชนกันแบบหมัดต่อ หมัด หวังปั๊มยอดขายและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดงานภายในองค์กร ตัวแทนจำหน่าย เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริการทั้งก่อนและหลังการขาย พร้อมกับเพิ่มโชว์รูมและศูนย์บริการ ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะแนะนำสู่ตลาด ต่างขนมาฟัดกันอย่างดุเดือด ค่ายดาวสามแฉกเปิดตัว “อี-คลาส” ใหม่ เวอร์ชั่นซีเคดีเคาะราคา 4.999 ล้านบาท และจะมีรุ่นเครื่องยนต์ 4 สูบทยอยตามมา พร้อมกันนี้ยังเปิด “เอส-คลา ส” ใหม่ ราคา 7.799-10.999 ล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีเตรียมพบสปอร์ตปีกนก SLS AMG ที่มาพร้อมกับขุมพลัง 563 แรงม้า ขณะที่ค่ายใบพัดสีฟ้าไม่น้อยหน้า เปิดตัว 320i SE DVD+Navigator E20 กดราคาลงมา 1.5 แสนบาท และเตรียมนำเข้าอีกหลากรุ่น ไม่ว่าจะเป็นรุ่น X1 คอมแพ็คต์เอสยูวีใหม่, Z4 sDrive35is, ซีรี่ย์ 3 คูเป้ และคอนเวิร์ทติเบิลใหม่ ส่วนไฮไลต์ “ซีรี่ส์ 5” โฉมใหม่ นับจากเดือนมีนาคมไปอีก 9 เดือน เตรียมขึ้นไลน์ประกอบในไทย สำหรับแบรนด์ในเครืออย่าง “มินิ” จะนำเข้าตัวถังใหม่ล่าสุดแบบ 4 ประตู “Countryman” มาเอาใจแฟนๆ ปลายปีนี้แน่นอน “เมอร์เซเดส-เบนซ์จะรักษาความเป็นผู้นำของตลาดรถหรูไว้ โดยปรัชญาของการดำเนินงานของเรา คือ เป็นอันดับ 1 ของตลาด แต่ปฏิบัติตัวเหมือนกับเป็นอันดับ 2 หรือ 3 เพื่อที่จะได้ไม่หยุดนิ่ง และเดินหน้าการทำงาน และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้น เรื่อยๆ”

นั่นเป็นคำกล่าวของ “ศ.ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์” ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์(ประเทศไทย) จำกัด ในการแถลงข่าวถึงแผนการดำเนินงานของเมอร์เซเดส -เบนซ์ประจำปี 2553 เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่คู่แข่งเบอร์ 1 อย่างบีเอ็มดับเบิลยูก็ไม่น้อยหน้า ถัดมาในวันแรกของสัปดาห์นี้(25 ม.ค.) ได้แถลงทิศทางการดำเนินงาน นำโดย “มิคาเอล คอร์ดิส” ประธานบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ประกาศให้ผู้บริโภครับทราบทีเด็ดปีนี้เช่นกัน

“ในปีนี้บีเอ็มดับเบิลยูมุ่งที่การเติบโตอย่างมีคุณภาพ และจะมุ่งเน้นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านการสร้างแบรนด์และ การให้บริการที่ดีเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าของเรา และนี่จะเป็นรากฐานสำคัญในการเตรียมความพร้อมเพื่อชิงตำแหน่งผู้ นำในเซ็กเมนท์พรีเมี่ยม”จากการประกาศของสองบอสใหญ่ค่ายผู้นำตลาดรถหรู คงเห็นสัญญาณของการแข่งขันพอสมควร ส่วนการที่จะผลักดันให้บรรลุตาม เป้าหมายนั้น ทั้งสองค่ายต่างงัดกลยุทธ์ออกมาใช้ครบครัน ตั้งแต่การเพิ่มศักยภาพทีมงาน เครือข่าย และแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด เพื่อให้ผู้บริโภคเป็นผู้ตัดสินใจจะเลือกใคร?

เริ่มกันที่เจ้าตลาดค่ายเมอร์ เซเดส-เบนซ์ ที่ประกาศงัดกลยุทธ์ Triple Trust ด้วยการเพิ่มความใกล้ชิด สร้างความเชื่อมั่นและเชื่อใจ ทั้งในส่วนของทีมงาน ตัวแทนจำหน่าย และผู้บริโภค เพื่อที่จะทำงานเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องใกล้ชิดผู้บริโภค เพราะจำเป็นต้องรับทราบข้อมูลเชิง ลึก สำหรับตอบสนองความต้องการ หรือปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

ในส่วนของการบริการหลังการขาย เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ใช้หลังกา รบริหาร 3Q++ อันมาจาก Quality และ Qualify ครอบคลุม 3 ด้าน ได้แก่ งานบริการหลังการขาย ที่ช่างเทคนิคไม่เพียงซ่อมรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ ทั่วไป แต่จะต้องมีช่างที่เจาะลึกลงไปเฉพาะด้านของตัวรถ เพราะปัจจุบันรถยนต์มีเทคโนโลยีระดับสูง ความรู้ความสามารถทั่วๆ ไปอาจจะไม่เพียงพอ หรือแม้แต่งานบริการก็ต้องปรับปรุงตั้งแต่ราย ละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นการเรียกสรรพนามลูกค้า เป็นต้น ขณะเดียวกันราคาของอะไหล่ หรือการเข้าบริการหลังการขายต้องเหมาะ สม ส่วนเรื่องของเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายและศูนย์บริการ ยังเตรียมเพิ่มในพื้นที่ที่ยังว่างมากขึ้น เช่น พื้นที่ทางจังหวัดเชียงราย หรือช่วงระหว่างจังหวัดเพชรบุรีถึงชุมพร เป็นต้น
ทางด้านค่ายใบพัดสีฟ้าบีเอ็ม ดับเบิลยู เร่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าเช่นกัน โดยวางแผนการขยายระบบเครือข่ายศูนย์จำหน่ายและบริการเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง สำหรับรองรับการเติบโตของตลาด และเพิ่มศักยภาพการบริการลูกค้า รวมถึงศูนย์ฝึกอบรมบุคลากร BMW Training Academy ซึ่งพร้อมดำเนินงานเต็มรูปแบบ ทั้งในส่วนของการอบรมด้านเทคนิคและด้าน การบริหารการให้บริการ สำหรับทั้งในส่วนการขายและบริการหลังการขาย รองรับการเพิ่มศักยภาพการบริการ เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับ ลูกค้า

และแน่นอนที่เป็นตัวตัดสินสำคัญ ย่อมต้องเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะ แนะนำสู่ตลาดปีนี้ ซึ่งค่ายบีเอ็มดับเบิลยูยังคงเดินหน้าเพิ่มทางเลือก ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดแนะนำบีเอ็มดับเบิลยู 320i SE DVD+Navigator E20 นับเป็นรถคันแรกของซี่รี่ส์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 จึงได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีสรรพสามิตรลดลง ส่งผลราคาจำหน่ายเคาะที่ 2.599 ล้านบาท ลดลงจากเดิมประมาณ 1.5 แสนบาท สำหรับโฉมใหม่ ของซีรี่ส์ 5 ที่จะเปิดตัวในตลาดโลกเดือนมีนาคม เนื่องจากบีเอ็มดับเบิลยูต้องรอดูความพร้อมของบริษัทแม่ที่จะส่ง รถสำเร็จรูปให้ได้เมื่อไหร่ และหวั่นผู้นำเข้าอิสระหรือเกรย์มาร์ เก็ต จะนำเข้ามากวาดยอดขายไปก่อน และสร้างปัญหาตามมาทีหลัง จากการปรับทางเทคนิคของรถในแต่ละภูมิภาคไม่ตรงกัน เพื่อรองรับมาตรฐานน้ำมันของแต่ละภูมิภาค ซึ่งไทยมีค่ามาตรฐานต่ำกว่ายุโรป บีเอ็มดับเบิลยูจึงประกาศไม่รับประกันสินค้าและ บริการหลังการขายรถที่ไม่ได้ซื้อจากตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ สำหรับซีรี่ส์ 5 ใหม่ และรุ่นอื่นๆ ที่จะตามมาภายหลังนับตั้งแต่เดือนมีนาคม เป็นต้นไป ส่วนรุ่นประกอบในประเทศนับถอยหลังอีก 9 เดือนจากเปิดตัวในตลาด
ไม่เพียงเท่านี้ค่ายบีเอ็มดับเบิลยู ยังเตรียมขนรถใหม่มาเปิดตัวอีกเพียบ โดยเฉพาะการเปิดเซกเม้นท์ใหม่ คอมแพ็คต์เอสยูวีหรูในไทย กับการนำเข้า บี เอ็มดับเบิลยู X1 ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับเอสยูวีรุ่น X3 ที่ประสบความสำเร็จอย่างดีในไทย โดยใช้ทั้งระบบขับเคลื่อนและเครื่อง ยนต์ร่วมกัน แต่ถูกวางตัวให้ทำตลาดต่ำกว่า โดยหวังแชร์ส่วนแบ่งจากกลุ่มลูกค้า หลักของโฟล์คสวาเกน Tiguan และฮอนด้า ซีอาร์-วี ด้วยการตั้งราคาแพงกว่านิดหน่อย สำหรับเมืองไทยคงไม่ใช่นิดหน่อยแน่
ส่วนเครื่องยนต์ที่จะทำ ตลาดยังไม่เปิดเผย แต่หากจะเปิดตลาดใหม่จริงๆ บีเอ็มดับบลิวต้องนำเข้าเครื่องยนต์เทอร์ โบดีเซล 2.0 ลิตรมาทำตลาด แต่ดูแล้วหวยน่าจะออกที่เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร ส่วนที่ตามมาในปีนี้ บีเอ็ม ดับเบิลยู Z4 sDrive35is ที่เพิ่มความแรงจากรุ่นท็อป Z4 sDrive35i เป็น 340 แรงม้า และเสริมความเข้มกับชุดแต่ง M Package โดยควงคู่มากับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ย์ 3 คูเป้ และคอนเวิร์ทติเบิลใหม่ เท่านั้นยังไม่พอในส่วนของ มอเตอร์ไซค์ ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อีกหลายรุ่น เช่น บีเอ็มดับเบิลยู S1000RR Superbike และรุ่น R1200 ทั้งในตัวถังแบบ GS, GS Adventure และ RT ขณะที่แบรนด์ในเครืออย่าง “มินิ” ปลายปีเตรียมเปิดตัวรุ่น “Countryman” ซึ่งเป็นตัวถังใหม่จากค่ายมินิ ด้วยการขยายตัวถังให้เป็นรถแบบ 4 ประตู แต่ความเป็นเอกลัษณ์ของมินิยังคงมีเต็มเปี่ยม มากันที่ค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ แน่นอนไฮไลต์หลักปีนี้ย่อมต้องตัว ธง “อี-คลาส” โฉมใหม่ (W212) ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นประกอบในประเทศ(CKD) โดยล่าสุดได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการรุ่นแรกไปแล้ว กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ E300 AVANTGARDE เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร 219 แรงม้า เคาะราคาออกมาที่ 4.999 ล้านบาท และแน่นอนภายในปีนี้จะมีทยอยตามออกมา อีก โดยเฉพาะเครื่องยนต์ 4 สูบ ซึ่งขณะนี้กำลังรอการอนุมัติผ่านมาตรฐาน มลพิษจากกระทรวงอุตสาหกรรมอยู่
และอีกโมเดลที่เปิดตัวไปสดๆ ร้อนๆ เช่นกัน “เอส-คลา ส” ซึ่ง ได้มีการปรับรูปลักษณ์ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นไฟคู่หน้า และไฟท้ายใหม่ แถมยังพกพามความทันสมัยและ เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ โดยเฉพาะจอภาพแสดงผลแบบ SPITVIEW ซึ่งสามารถแสดงภาพสองมุมมองภายใต้จอแสดงผลเดียว เพราะในขณะผู้ขับขี่อ่านแผนที่จากระบบเนวิเกเตอร์ ผู้โดยสารด้านหน้าก็สามารถ ชมภาพยนต์จากเครื่องเล่นดีวีดีได้ ถือเป็นครั้งแรกของโลกยานยนต์ทีเดียว โดยเอส-คลาสใหม่มี 3 รุ่นให้เลือก ได้แก่ รุ่น S300L ราคา 7.799 รุ่น S350 CDI EFFICIENCY L ราคา 7.99 ล้านบาท และรุ่น S500L ราคา 10.999 ล้านบาท
ส่วนรถนำเข้าที่มาสร้างสีสันหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นสปอร์ตปีกนก SLS AMG ที่ได้รับอิทธิพลในการออก แบบและสร้างสรรค์ จากความคลาสสิคอย่างรุ่น 300SL หรือ Gullwing โดยเฉพาะประตูทั้ง 2 บาน ซึ่งเปิดขึ้นในลักษณะปีกนกเช่นกัน ติดตั้งขุมพลังแบบเดียวเป็นเครื่องยนต์วี8 ขนาด 6,300 ซีซี 563 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 48.9 กก.-ม. ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยเกียร์ 7 จังหวะแบบกึ่งอัตโนมัติ ใช้เวลา 3.7 วินาที ในการทำอัตราเร่งจาก 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีความเร็วสูงสุด 317 กิโลเมตร/ชั่วโมง

จากการเปิดเผยแผนธุรกิจของสองค่ายยักษ์ในตลาดหรู คงจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้พอสมควร ส่วนจะทำได้อย่างที่พูดไว้หรือไม่? สุดท้ายบรรดาเศรษฐีไทยจะเป็นผู้ตัดสิน ให้รางวัลหรือลงโทษเอง!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์