Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

Jeep ชื่อนี้มีตำนาน

ทุกวันนี้บนท้องถนนบ้านเรามีรถยนต์มากมายหลากหลายแบบ แต่ละรุ่นถูกออกแบบและสร้างสรรค์ เพื่อประโยชน์ใช้งานแตกต่างกันไป ตามแต่บริษัทผู้ผลิต และทีมวิศวกรของแต่ละค่ายจะออกแบบสร้างกันออกมา เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในการขาย ตามยุคสมัย ค่านิยมและตามความต้องการ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดนิ่ง รถยนต์บางรุ่นออกสู่ตลาดแล้วก็ค่อยๆหายไปกับกาลเวลาไม่มีอะไรให้จดจำ แต่ยังมีรถยนต์อยู่ยี่ห้อหนึ่งที่ยังคงมีคนกล่าวขานถึง และหากใครที่มีอยู่ในครอบครองแล้วขับออกมาวิ่งกินลมรับรองได้ว่าคนที่พบเห็นต้องมองเหลียวหลังพร้อม กับคิดว่าไปขุดมาที่ไหนกันหนอ แล้วดูแลรักษาอย่างไรถึงยังวิ่งอยู่ได้และอยู่ในสภาพดี ใช่แล้วครับผมกำลังพูดถึงรถ Jeep ซึ่ง ผมคิดว่าไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ เพียงแค่มองเห็นก็สามารถบอกได้ว่ารถชนิดนี้ เรียกว่ารถอะไร เพราะแม้แต่ผู้ที่ผลิตรถของเล่นเด็ก ยังไม่ลืมที่จะผลิตรถ Jeep ออกมาเอาใจเด็กๆ สงสัยหรือไม่ว่ารถ Jeep ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดแล้วชื่อ Jeep มีที่มาอย่างไร ใครเป็นคนตั้ง ข้อกังขาเหล่านี้ทำให้ผมต้องลงมือสืบค้นหาข้อมูล จากแหล่งต่างๆมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับแฟนพันธุ์แท้ ที่รักยานยนต์ยี่ห้อระดับตำนานนี้

Jeep ชื่อนี้มีที่มา
เริ่มต้นในปี 1939 ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ มีความต้องการจัดหารถยนต์อเนกประสงค์ ประจำการในกองทัพเพื่อใช้ในราชการสงครามแทนรถมอเตอร์ไซด์พ่วงข้างและรถยนต์อื่นๆที่ใช้อยู่ ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1 จึงได้มีการประกาศเปิดประมูลและให้บริษัทเอกชนผลิตป้อนกองทัพ โดยกำหนดคุณสมบัติที่ต้องการคร่าวๆ ดังนี้

1. สามารถบรรทุกน้ำหนัก 600 ปอนด์ น้ำหนักโดยรวมของตัวรถ ต้องน้อยกว่า 1200 ปอนด์ มีที่โดยสารสำหรับ3คน
2. ความกว้างของล้อต่ำกว่า 75 นิ้ว กระจกบังลมสามารถปรับขึ้นหรือพับลงได้ เพื่อให้ติดตั้งปืนกลได้
3. มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และสามารถทำความเร็วได้ ที่ 60 ไมล์ต่อ ชั่วโมง

มีมากกว่า 135 บริษัทที่เข้าร่วมการประมูล แต่มีพียง 3บริษัท ที่สามารถที่จะผ่านข้อกำหนดและมีคุณสมบัติพร้อม คือบริษัท แบนแทม Bantam, วิลลี่ โอเวอร์ แลนด์ Willy-Overland, และ ฟอร์ด มอเตอร์ Ford motor
ปี 1940 ทั้ง 3 บริษัท ได้เริ่มดำเนินการผลิตรถต้นแบบออกมา โดย แบนแทม ผลิต Bantam Blitzbuggy วิลลี่ โอเวอร์ แลนด์ ผลิต Old Number Oneและ ฟอร์ด ได้ผลิต Ford Pygmy ออกมาเพื่อนำเข้าประมูลแข่งขัน
ในครั้งนั้นวิลลี่ โอเวอร์ แลนด์ ชนะการประมูลแต่ก็ต้องหันมาร่วมมือกับ ฟอร์ด เพื่อผลิตเป็น Mass production ให้ทันกับความต้องการที่จะใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งกำลังเริ่มต้นขึ้น และนี้คือจุดเริ่มต้นของตำนาน Jeep ส่วนที่ว่าใครเป็นเจ้าของแบบคนแรกไม่มีบทสรุปที่แน่นอนบ้างก็ว่าเป็นบริษัทแบนแทม บ้างก็ว่าเป็นของ วิลลี่ แต่ก็สามารถพูดได้ว่ารถ Jeep เป็นรถสายพันธ์ที่เกิดจากความคิดและความสามารถของคนอเมริกัน อย่างแท้จริง จนบางคนให้ฉายาว่า อเมริกัน ฮีโร่
สำหรับชื่อ Jeep ไม่มีใครสามารถยืนยันได้แน่นอนว่ามีที่มาจากที่ใดหรือใครเป็นคนตั้งแต่มีการกล่าวว่าเพี้ยนมาจาก ชื่อรุ่น G.P ซึ่งบางคนคิดว่าย่อมาจาก General Purpose แต่จริงๆแล้วย่อมาจาก “ G” = GovernmentและPมาจาก รหัสของรุ่นรถที่มีขนาดฐานล้อ 80 นิ้ว ขับเคลื่อนสี่ล้อ
ปี 1942 บริษัท Ford ได้รับคำสั่งซื้อและให้ออกแบบและผลิตJeep รุ่นสะเทินน้ำสะเทินบกออกมาจำนวนหนึ่ง โดยเรียกรุ่นนี้ ว่า SEEP แต่ผลิตออกมาจำนวนไม่มากนักและใช้ใน สงครามเท่านั้น
ต่อมาในปี1945 Jeep รุ่นแรกที่ผลิตเพื่อขายให้ประชาชนทั่วไป เริ่มผลิตโดยใช้ชื่อรุ่น CJ2A โดยชื่อรุ่น CJ มาจากคำว่า “Civilian Jeep”หรือ Jeep ของพลเรือนและผลิตรุ่นต่อๆมาโดยใช้ชื่อรุ่น CJ3As และCJ3Bs และผลิตมาจนถึงปี 1968

CJ-2A
รถJeep รุ่นแรกๆ มีสัญลักษณ์ ทีสำคัญคือ กระจังด้านหน้าจะแบนเรียบ และต่อมาได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในรุ่นCJ4 ซึ่งผลิตในปี1951ซึ่งถือได้เป็นรอยต่อระหว่างJeep รุ่นหน้าแบนและหน้ามน หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า Jeep หน้ากบ
ปี 1952 เริ่มผลิต M-38A1 สำหรับราชการสงคราม อีกครั้ง
ต่อมาในปี 1954ได้เริ่มผลิตรุ่น CJ-5 สำหรับรุ่นพลเรือน CJ-5 ได้ รับความนิยมและอยู่ในสายการผลิตมากกว่า 30 ปี ซึ่งยาวนานมากกว่ารุ่นใดๆ จนถึงปี 1983 จึงหยุดสายการผลิต และในระยะเวลานั้นได้มีการแก้ไขเล็กๆน้อยๆ และเรียกชื่อรุ่นว่า CJ6 โดยขยายฐานล้อ เป็น101- 104 นิ้ว ตามลำดับแต่รุ่น CJ6 ขึ้นสายการผลิตได้ไม่นานก็ถูกแทนที่ ด้วยรุ่น CJ7 ซึ่ง เป็นรุ่นหนึ่งที่ได้รับความนิยมเช่นกัน โดยเริ่มสายการผลิต ในปี 1976 และผลิตต่อเนื่องมาอีก 10ปี , ต่อมาในปี 1981 ถึง 1986 Jeep ได้ผลิต CJ-8 โดยเรียกชื่อรุ่นว่า Scrambler ซึ่งมีหน้าตาและลักษณะคล้ายคลึงกับ ปิคอัพในบ้านเราในปัจจุบันเพียงแต่หัวเป็นรถ jeep
และในปี 1987 รุ่น CJ-7.ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งโดยเปลี่ยนไฟหน้าเป็นสี่เหลี่ยม และเรียกชื่อรุ่น YJ หรือในอีกชื่อหนึ่งคือ Wrangler. แล้วผลิตต่อมาอีก 10 ปี แล้วเปลี่ยนชื่อรุ่นเป็น TJ ซึ่งมีลูกเล่นและรายละเอียดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเช่นเริ่มใช้คอล์ยสปริงเข้สมาแทนปแหนบแผ่นและมีการใส่ Air Bag และ Option อื่นๆ เข้าไป โดยตลอดเวลา 50 ปี Jeep ยังได้ผลิตรถยนต์อื่นๆออกมาอีกหลากหลายรูปแบบทั้ง แบบ SUV , Pick up และรถ VAN
ากเราหันมาดูประวัติของบริษัทผู้ผลิตรถ Jeep จากอดีตจนถึงปัจจุบัน บริษัท Jeep ได้ถูกเปลี่ยนมือผู้ถือหุ้นและผู้บริหารมาอย่างน้อยก็ 3 ครั้ง ดังนี้
ปี 1953 กลุ่มไกเซอร์ Kaiser ซื้อ Willys-Overland แล้วตั่ง ชื่อใหม่ว่า Kaiser-Jeep
ปี 1970 อเมริกัน มอเตอร์ คอร์เปอร์เรชั่น American Motors Corporation (AMC) ซื้อ Kaiser-Jeep,
ต่อมา อีก 17 ปีคือในปี 1987 Chrysler ก็ได้ เข้ามาซื้อกิจการ ของ AMC. และในปัจจุบัน Chrysler ก็ได้รวมกับ Mercedes เป็น Daimler-Chrysler Corporation. ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของชื่อ Jeep มาจนถึงทุกวันนี้

ปัจจุบัน Jeep เองมีรถรุ่นล่าสุดผลิตอยู่3 รุ่นคือ กลุ่ม Wrangler (TJ) ซึ่งยังคงความเป็นJeep แบบไม่มีหลังคาอยู่ นอกจากนี้ก็มีรุ่น LIBERTY (KJ), และ CHEROKEE และGRAND CHEROKEE (XJ)
จากอดีตจวบจนปัจจุบัน จะเห็นได้ว่ารถ Jeep เป็น รถยนต์ ที่ออกแบบและสร้างตาม แนวความคิด และจุดประสงค์เพื่อใช้ในสงคราม ดังนั้นทุกๆชิ้นส่วนจึงออกแบบบนเพื้นฐานของความเรียบง่ายด้วยต้นทุนต่ำ ซ่อมบำรุงง่าย ทนทรหด และหลังจากที่ผลิตเพื่อใช้ในสงคราม บริษัทผู้ผลิตก็ได้เริ่มผลิตรุ่นสำหรับประชาชนออกมาเพื่อใช้ในงานทั่วไปใน ไร่หรืองานก่อสร้าง ทั้งนี้ ขอให้มองช่วงเวลาที่รถJeep เริ่มทำตลาดอยู่ในอเมริกานะครับว่าคือ เมื่อ30- 50 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศสหรัฐเองก็อยู่ในช่วงที่กำลังสร้างประเทศไม่ได้เป็นประเทศร่ำรวยเหมือนในปัจจุบัน
จุดหนึ่งที่น่าสนใจและเราน่าจะเรียนรู้จากประวัติ ของรถ Jeep ก็คือ ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ ประเทศญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่2 อย่างยับเยิน และอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศ รถ Jeep ก็ได้ถูกนำมาผลิตโดยบริษัท มิซูบิชิ โดยอาศัยแบบจากรุ่น M38 หรือ CJ3B มาเป็นพื้นฐานในการออกแบบและพัฒนา และรถJeep เหล่านี้ก็ถูกขายเข้ามาในตลาดเอเชีย อาคเนย์ และได้รับความนิยมมากในประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งประเทศไทยของเรา และบางส่วนก็ถูกนำไปใช้ในสงครามเวียดนามด้วย นอกจากประเทศญี่ปุ่นซึ่งปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นประเทศซึ่งเป็นผู้นำในวงการรถยนต์ ระดับโลกไปแล้วยังมีอีกอย่างน้อย 2 ประเทศ ที่มีการผลิตรถยนต์ชนิดนี้และพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ ได้แก่เกาหลีใต้ โดยมีการนำเข้าไปผลิตโดยกลุ่ม SangYong Motor โดยใช้ชื่อว่า Korando และอีกประเทศหนึ่งคือ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีการนำรถ Jeep ไปผลิตในนามของ Jeep MAHINDRA (มาฮินดา) เป็นเวลามากกว่า 20 ปี โดยช่วงแรกๆJeep อินเดีย ก็อาศัย เทคโนโลยีบางส่วนจากญี่ปุ่นและอเมริกา ต่อมาก็สามารถผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นของตัวเองแถมยังมีการพัฒนาออกแบบ ให้เหมาะสมกับการใช้งานและยังคงทำการผลิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเรียกได้ว่าอินเดียเองก็สามารถเรียนรู้และพัฒนาการผลิตรถยนต์มาจากรถJeep และสามารถผลิตชิ้นส่วนได้เองเกือบ ร้อยเปอร์เซ็นต์ จากจุดเด่นในการออกแบบที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ทำให้ประเทศที่มีความต้องการรถยนต์เพื่องานแต่ ยังไม่สามารถผลิตรถยนต์ได้ด้วยตนเองในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เลือกรถ Jeepมา เป็นรถยนต์รุ่นแรกๆในการที่จะเริ่มผลิตรถยนต์เพื่อใช้เองในประเทศ เพราะการออกแบบที่ไม่สลับซับซ้อนมากและเหมาะสมกับการใช้ในงานกสิกรรม ที่ต้องวิ่งลงท้องไร่ท้องนา หรือถนนที่ทุรกันดารและที่สำคัญผู้ใช้รถก็สามารถที่จะซ่อมบำรุงและดูแลรักษา ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องอาศัยศูนย์บริการ จึงทำให้รถ Jeep สามารถสร้างความประทับใจให้กับใครก็ตามที่มีโอกาสได้เป็นเจ้าของหรือ เคยขับหรือแม้แต่โดยสารมันผ่านทางที่ทุรกันดาร ในอดีตที่ผ่านมา
ในช่วง10-15 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยเราเองก็เคยมีคนที่คิดทำรถ Jeep ออกมาจำหน่าย โดยอาศัย แชสซีส และชิ้นส่วนช่วงล่าง จาก รถปิคอัพเก่าจากญี่ปุ่น โดยท่านสามารถเห็นรถJeep เหล่านี้ได้ตามเมืองท่องเที่ยวเช่นชายหาด พัทยา หรือชายหาดต่างๆ ที่มีรถ Jeep ให้ฝรั่งเช่าขับเล่น ซึ่งผู้ที่ผลิตจำหน่าย และมีเชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ รถ Jeep จาก อู่ เปียก ระยอง ซึ่งในตอนนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ายังทำการผลิตอยู่หรือไม่ ทุกวันนี้ยังคงมีรถJeepสัญชาติญี่ปุ่น ขนาดเล็กที่ยังทำตลาดอยู่เพียงรุ่นเดียวที่ก็ยังคงได้รับความนิยมจากนักขับออฟโรด และผู้ที่หลงใหลในรูปแบบ ของรถJeepอยู่ก็คือ SUZUKI SJ410 หรือ คาริเบียน

ตามที่เล่ามาหากเรา เปรียบเปรยตามสุภาษิตที่ว่า “ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตน”หากเราถามทหารซักคนว่าต้องการรถยนต์อะไรเพื่อใช้ในสงคราม คำตอบก็คงเป็นรถ Jeep แล้ว หากเราหันมามองตัวเราเองหรือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นเกษตรกร หรือเจ้าของกิจการร้านค้า ว่าหากเขาต้องการมีรถยนต์ไว้ใช้งานซักคัน รถยนต์ ที่เขาสามารถเลือกได้ในเวลานี้ก็คือรถอะไร คงไม่มีคำตอบใดจะดีไปกว่ารถบรรทุกขนาด 1 ตันหรือ ที่เราเรียกว่า ปิคอัพ ซึ่งมีมากมายหลากหลายหลายรุ่นหลากยี่ห้อ หากรุ่นหลายรูปแบบซึ่งราคา ขั้นต่ำ หากเป็นรถใหม่ ก็ประมาณ 4 แสนบาท และหากเอามาใช้แบบสมบุกสมบันในนาในไร่ ก็สามารถ ใช้ได้อยู่ในราว 2-3 ปี แล้วก็ต้องเริ่มซ่อมตัวถังหรือ ชิ้นส่วนอื่นๆ เนื่องจาก ชิ้นส่วนทีเป็นพลาสติกหรือ ยาง เริ่มหมดอายุใช้งาน และตัวถังเริ่มผุ บุบเสียหายเพราะ ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานหนักอย่างจริงจัง หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องไปหาอุปกรณ์เสริมมาช่วยให้กระบะไม่บุบหากนำรถไปบรรทุก ของ ซึ่งเป็นเรื่องที่พิจารณาให้ดีๆจะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ตลกมากเพราะ เราซื้อรถกระบะซึ่งควรที่จะสามารถบรรทุกสิ่งของได้อย่างสมบุกสมบันแต่กลับ ต้องไปจัดหาชิ้นส่วนมาเพิ่มเติมเพื่อป้องกัน กระบะบุบหรือเป็นรอยขูดขีด เหล่านี้เป็นเรื่องของความสูญเสีย ระดับชาติที่ไม่มีใครให้ความสนใจและคิดจะแก้ไขหากเราเอามาคิดพิจารณา กันดีๆ มันเป็นการสูญเสียอันมหาศาลของประเทศ เพราะเงิน 4-5 แสนบาท ที่พี่น้องชาวนาชาวไร่ หรือคนที่กำลังจะสร้างเนื้อสร้างตัวทำ เอาเงินจากการขายผลิตผลทางการเกษตรไปซื้อรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งแล้วสามารถใช้ งานได้ 2-3 ปีแล้วก็ต้องเสียเงินในการซ้อมชิ้นส่วนตัวถังหรือชิ้นส่วนในห้องโดยสารเพราะแต่ละชิ้นส่วนบอบบางเหลือเกิน เม็ดเงินจำนวนนี้มีกี่เปอร์เซ็นต์ ที่หมุนเวียนและสร้างงานในประเทศไทยของเรา หากประเทศเราเองยังไม่มีความสามารถที่จะผลิตวัตถุดิบและยังไม่มีเทคโนโลยี ในการผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อนเช่นเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ หรือ ระบบส่งกำลังได้ และที่สำคัญผู้ลงทุนผลิตรถยนต์เหล่านี้ไม่มีซักยี้ห้อที่มีคนไทยถือหุ้นส่วนใหญ่หรือเป็นเจ้าของซักราย ซึ่งหากคนไทยเรายังมัวงมงายกับคำโฆษณาของผู้ผลิตรถยนต์ และยังหลงระเริงอยู่กับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ผู้ผลิตรถยนต์จากค่ายต่างๆทยอยป้อนให้ผู้บริโภคเพื่อที่จะได้สามารถควบคุมได้ว่าคนไทยจะสามารถใช้รถได้กี่ปีแล้วจะต้องเปลี่ยนรถคันใหม่เพราะชิ้นส่วนที่ออกแบบไว้หมดอายุการใช้งานแล้วไม่สามารถที่จะซ่อมได้ ยกเว้นจะวิ่งเข้าศูนย์บริการเพื่อเปลี่ยนชิ้นส่วนที่หมดสภาพ หากเป็นเช่นนี้ คนในประเทศ เราก็คงต้องงมโข่งกันอย่างนี้ไป ไม่รู้จบ
ซักวันหนึ่งในอนาคตผมหวังว่าจะมีโอกาสที่จะเห็น อัศวินขี่ม้าขาวที่กล้าที่จะยืนขึ้นและประกาศว่า เราคนไทยจะสามารถออกแบบรถยนต์และผลิตรถ ที่เหมาะสมกับการใช้งาน โดยใช้เงินทุนของคนไทย เทคโนโลยีของคนไทยเพื่อ ที่จะเป็นทางเลือกใหม่ของคนไทย ที่สามารถจะเลือกใช้รถยนต์ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานโดยเน้นความเรียบ ง่ายและคงทน ไม่ได้เน้นที่ความสวยงามหรือ กำลังเครื่องยนต์สูงๆที่ไม่ได้เหมาะสมกับการใช้งาน และที่สำคัญมีราคาที่เหมาะสมทั้งตัวรถและอะไหล่ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ใช้เทคโนโลยี่ที่สามารถดูแลรักษาและซ่อมบำรุงได้ด้วยตนเองหรือช่างทั่วไป ซึ่งรถ Jeep เป็น ตัวอย่างที่ดีของแนวคิดในการออกแบบและพัฒนารถยนต์ที่เหมาะสมกับประเทศที่ไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ผมเชื่อมั่นว่าหากทุกหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นายทุนและนักวิชาการ จากมหาวิทยาลัยต่างๆ หันหน้ามาร่วมมือกันผมเชื่อว่าประเทศไทยเรามีศักยภาพที่สามารถจะร่วมกัน พัฒนาออกแบบรถยนต์ที่เป็นของคนไทยเองได้ แม้หากไม่มีใครสามารถรวบรวมกำลังเพื่อทำให้สิ่งนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ อย่างน้อยข้อมูลเหล่านี้ ก็เป็นการบอกผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายว่า เราไม่ได้หูหนวกตาบอดและจะยอมให้หลอกกันไปเรื่อยๆ อย่างนี้ ผู้ผลิตรถยนต์ควรที่จะคิดว่าจะทำอย่างไรให้รถยนต์ที่ผลิตขึ้นมาขายในรุ่นต่อไปสามารถใช้งานได้ทนทานมากขึ้นและตรงกับการใช้งานไม่ใช่การนำเอาแต่แฟชั่น หรือความสวยงานมาเป็นจุดขายแต่เพียงอย่างเดียวเราอาจจะมองง่ายๆ ว่ารถยนต์ปิคอัพที่ผลิตออกมาขายคันละ 4 แสน ยังไม่มีแม้แต่กันชนท้ายต้องไปเสียเงินซื้อติดเอาเอง หรือเรียกกันชนท้ายว่าของแถม ช่างน่าสงสารจริงๆทั้งคนซื้อและคนขาย การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทุกๆฝ่ายหันมาศึกษาในรายละเอียดและ ร่วมมือกันอย่างจริงจังโดยเฉพาะนักการเมือง เพราะทุกๆสิ่งจะสามารถแก้ไขได้หากเริ่มต้นที่นโยบายระดับชาติ ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงผมหวังว่า ตำนานJeep ที่ผมนำมาเล่าให้ฟังวันนี้จะเป็นแรงกระตุ้นแม้เพียงน้อยนิด ให้คนรุ่นใหม่ที่เผอิญเปิดมาอ่านเรื่องราวที่ผมเล่ามานี้ ได้หยุดคิดสักนิดว่าปัจจุบันว่าเรากำลังตกเป็นทาส ทางเศรษฐกิจและถูกครอบงำ ทางความคิดจากต่างชาติ ที่เป็นนักลงทุนและเป็นเจ้าของเทคโนโลยี มากเพียงใด โดยอาจจะดูได้จากการถูกครอบงำค่านิยมในการใช้รถยนต์ของตัวท่าน และลองประเมินว่าตัวท่านเองหาเงินมาเพื่อใช้จ่ายกับรถยนต์ที่ท่านใช้อยู่มาก น้อยเพียงใด แล้วเงินของท่านเหล่านั้นหมุนเวียนอยู่ ในประเทศของเราหรือไหลกลับไปยังประเทศที่เป็นนักลงทุนและเจ้าของเทคโนโลยี มากเพียงใด คิดดูดีๆ นะครับ แล้วท่านจะได้คำตอบที่ชัดเจนว่าผลประโยชน์ที่แท้จริงตกอยู่ที่ใคร.!!

1 ความคิดเห็น: