Subscribe

RSS Feed (xml)

Powered By

Skin Design:
Free Blogger Skins

Powered by Blogger

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Ford Fiesta ซิตี้คาร์ตัวจี๊ด


การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของรถยนต์สายพันธุ์อเมริกัน Ford Fiesta เมื่อเดือน กันยายน 2553 ถือว่าเป็นการเปิดเกมรุกในตลาดรถกลุ่มคอมแพ็ค อย่างชัดเจน ทำให้ความนิยมของกลุ่มรถเล็กนั้น ฟอร์ดต้องทำการบ้านมาเป็นอย่างดีและทุ่มเทอย่างหนัก เพราะค่ายนี้มีเจ้าซิตี้คาร์ตัวจี๊ด ที่คนทางฝั่งประเทศแถบยุโรปเขายกนิ้วให้แถมกวาดรางวัลมาแล้วมากมาย
ภายนอกสปอร์ตเต็มตัว
Ford Fiesta เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่สวยหรูแบบสปอตทุกกระเบียด มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา ก่อนจะพาบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลายไปลองขับกันมาแล้วที่ไข่มุกอันดามัน นับว่าเป็นเกมการตลาดที่ ฟอร์ดจัดรถรุ่นนี้มาเป็นตัวชูโรงประจำค่ายเลยก็ว่าได้

ภายนอกเฟียสต้า มันมาพร้อมตัวเลือก 2 แบบ 2 สไตล์ กับ ซีดาน 4 ประตู และแฮทแบ็ค 5 ประตู ที่ได้รับการดีไซน์ให้มีความโดดเด่นในมาดสปอร์ตตั้งแต่ใบหน้าที่เริ่มจากจุด เด่นกลางกันชนกับตรา “บลู โอวอล” เอกลักษณ์ของค่าย ลากเส้ยสายผ่านกันชนหน้าจรดไฟหน้าแบบสปอร์ต ก่อนขัดเกลาให้มีความโค้งมลดูลู่ลม ส่งแรงลมกระจายออกสู่พื้นที่ตัวถังผ่านประตูข้าง 4 บาน ไปยังบั้นท้ายด้วยไฟท้ายแบบสปอร์ต ที่ลงตัวด้วยมนต์เสน่ห์ 4 ประตู และ 5 ประตู ที่ทั้ง 2 มีลักษณะค่อนข้างโค้งมลคล้ายคลึงกัน ทั้งหมดมาพร้อมล้อแม็ก ที่ต่างกัน 3 แบบ3 สไตล์ ลงตัวด้วยยางที่คอยวัดพื้นมาตรฐานเริ่มต้นที่ขนาด 185/50/R15 ส่วนรุ่นท๊อปจะมาพร้อม 195/50 และล้อขอบ 16 นิ้ว
ภายในเนี๊ยบ แบบเรียบง่ายแฝงความไฮเทค
ภายในห้องโดยสาร คุณจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายมาดสปอร์ตของเฟียสต้ามากยิ่งขึ้น กับการออกแบบภายในที่เน้นโทนสีเทาดำตัดสลับกับสีเงา ซึ่งเมื่อมองถึงองค์รวมในห้องโดยสารมันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น การออกแบบเน้นพื้นที่ใช้สอย ซึ่งฟอร์ดรุ่นนี้ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใช้งานตัวใหญ่ (พวกฝรั่ง) ทำให้แลดูกว้างสบายมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับคนเอเชีย ไม่ว่าจะพื้นที่เหนือหัว หรือช่วงขา ต่างนั่งแล้วดูลงตัวพอดี อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็จัดมาให้อย่างครบครัน ลงตัวแบบไม่มีที่ติ เริ่มตั้งแต่ระบบปรับอากาศที่จัดวางไว้ในตรงกลางคอนโซลหน้า เหนือขึ้นมาจะเป็นวิทยุ CD /Mp3 พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB เสียบฟังเพลงได้สบายทุกเส้นทาง และทั้งหมดยังสามารถควบคุมได้บนพวงมาลัย ช่วยให้ไม่ต้องละสายตาจากถนน หรือถ้าหากคุณ กำลังมองหาถึงฟังชั่นการสั่งงานด้วยเสียง ที่เราเห็นกันในโฆษณาทางโทรทัศน์ อันนี้เห็นทีต้องจ่ายเงินแพงขึ้นสักหน่อย เพราะ ออพชั่นนี้จะมาเฉพาะในรุ่น sport เท่า นั้น ซึ่งการสั่งงานนั้นต้องใช้ภาษาอังกฤษเท่านั้นด้วย ซึ่งแม้จะมีข้อดีที่มันทำให้คุณดูไฮโซ แต่คุณต้องคุยกับรถเป็นภาษาอังกฤษ และที่หนักไปกว่านั้นกับฟังชั่นรับโทรศัพท์ ที่ เฟียสต้าสามารถเชื่อมต่อกับสัญญาณบลูทูธของโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้นั้น จงจำไว้โดยเฉพาะสำหรับใครที่มีความลับเยอะๆ เพราะเสียงบทสนทนาจะได้ยินกันทั้งห้องโดยสารเลยทีเดียว


ขุมพลังเร้าใจ เต็มสมรรถนะ

เรื่องเครื่องยนต์ใต้ฝากระโปรงของเฟียสต้า ดีกรีขับสนุกนั้นไว้ใจได้กับขุมพลัง Duratec1.4 ลิตร ให้พละกำลังสุงสุด 95 แรงม้าที่ 5750 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 126 นิวตันเมตรที่ 4200 รอบ และ 1.6 ลิตรที่มาพร้อมระบบ Ti-VCT ระบบแปรผันแคมชาร์ฟแบบอิสระคู่ ทำให้สามารถรีดแรงม้าได้ดีกว่าและให้มากถึง 121 แรงม้าที่ 6000 รอบต่อนาที ขณะที่แรงบิดสามารถทำได้ 151 ที่ 4050 รอบต่อนาที เครื่องยนต์อันทรงพลังนี้จะมาพร้อมระบบส่งกำลังที่แตกต่างกันไปตามรุ่นรถ โดยในเครื่องยนต์ขนาด 1.4 ลิตร มันจะมาพร้อมระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติ Sport sequential Shift 4 สปีด ที่สามารถตอบสนองต่อเครื่องยนต์ขนาดดังกล่าวได้ดีอยู่แล้ว ในทางกลับกันเครื่องยนต์บล็อกใหญ่ขนาด 1.6 ลิตร ที่มาพร้อมฝูงม้ากว่า 121 ตัว กลับมาพร้อมระบบเกียร์ Power shift 6 สปี ด ที่ตอบสนองการขับขี่ดีกว่าระบบเกียร์อัตโนมัติทั่วไป ด้วยระบบคลัทช์คู่ทำให้เปลี่ยนอัตราทดเกียร์ได้ไวกว่า และที่สำคัญเบื้องหลังทางเทคนิคของเกียร์ที่ว่านี้ มันมาจากค่าย GETRAG ที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน และการดูแลรักษาที่ง่าย
อย่างไรก็ดีแม้ว่าเกียร์ Power Shift อาจถือได้ว่ามันเป็นตัวชูโรงที่สำคัญทางด้านสมรรถนะการขับขี่ของค่ายฟอร์ด และก่อนหน้านี้ เกียร์รุ่นนี้ก็เคยประจำการมาแล้วในรุ่น Ford focus Tdi เครื่องดีเซล แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างในโฟกัสกับเฟียสต้าอย่างชัดเจน คือรูปแบบตำแหน่งเกียร์ที่ใน Fiesta นั้นคุณจะไม่สามารถเลือกตำแหน่งเปลี่ยนเกียร์ได้ แบบ Triptronics เหมือนในโฟกัส แต่จะมีเพียงปุ่ม Overdrive ไว้ให้สัมผัสกดสั่งเครื่องยนต์เร่งตามใจยามต้องการ

สุดท้ายเรื่องความปลอดภัยหายห่วง...
เมื่อพูดถึงความแรงกันไปแล้ว เราคงต้องมาดูเรื่องความปลอดภัยภายในห้องโดยสารกันบ้านที่ทางค่าย ฟอร์ดก็จัดมาให้อย่างครบครัน ตั้งแต่ระบบป้องกันล้อล็อค ABS และกระจายแรงแบรก EBD ก็ติดตั้งมาให้อย่างครบครันในทุกรุ่น เช่นเดียวกับไฟเบรกดวงที่3 คานกันกระแทกด้านข้าง และถุงลมนิรภัยด้านฝั่งคนขับ แต่หากคุณรักตุ๊กตาหน้ารถมากก็ต้องมองในรุ่น Trend ขึ้นไป ที่มาพร้อมเครื่อง 1.6 ลิตร คุณก็จะพบว่ามันมีถุงลมนิรภัยทางฝั่งคนนั่ง เช่นเดียวกับระบบควบคุมการทรงตัว ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และ การช่วยออกตัวในพื้นที่ทางลาดชัน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นเทคโนโลยีในรถรุ่นใหญ่ ซึ่งสามารถพบได้ในรถเล็กอย่างเฟียสต้า

สมรรถนะของ Ford Fiesta



Fiesta 5 ประตู Style AT

Fiesta 5 ประตู Style AT

ราคา 574,000 บาท
1.4 ลิตร Duratec
4 สูบแถวเรียง DOHC 16V
ระบบเกียร์อัตโนมัติ Sequential Sports Shift
Fiesta 5 ประตู 1.6 Trend PowerShift®

Fiesta 5 ประตู 1.6 Trend PowerShift®

ราคา 654,000 บาท
1.6 ลิตร Duratec Ti-VCT
4 สูบแถวเรียง DOHC 16V
ระบบเกียร์อัตโนมัติ PowerShift® 6 สปีด
Fiesta 5 ประตู 1.6 Sport PowerShift®

Fiesta 5 ประตู 1.6 Sport PowerShift®

ราคา 699,000 บาท
1.6 ลิตร Duratec Ti-VCT
4 สูบแถวเรียง DOHC 16V
ระบบเกียร์อัตโนมัติ PowerShift® 6 สปีด
Fiesta 4 ประตู Style MT

Fiesta 4 ประตู Style MT

ราคา 529,000 บาท
1.4 ลิตร Duratec
4 สูบแถวเรียง DOHC 16V
ระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ
Fiesta 4 ประตู Style AT

Fiesta 4 ประตู Style AT

ราคา 564,000 บาท
1.4 ลิตร Duratec
4 สูบแถวเรียง DOHC 16V
ระบบเกียร์อัตโนมัติ Sequential Sports Shift
Fiesta 4 ประตู 1.6 Trend PowerShift®

Fiesta 4 ประตู 1.6 Trend PowerShift®

ราคา 644,000 บาท
1.6 ลิตร Duratec Ti-VCT
4 สูบแถวเรียง DOHC 16V
ระบบเกียร์อัตโนมัติ PowerShift® 6 สปีด
Fiesta 4 ประตู 1.6 Sport PowerShift®

Fiesta 4 ประตู 1.6 Sport PowerShift®

ราคา 699,000 บาท
1.6 ลิตร Duratec Ti-VCT
4 สูบแถวเรียง DOHC 16V
ระบบเกียร์อัตโนมัติ PowerShift® 6 สปีด
ดูข้อมูล Ford เรนเจอร์

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

อีซูซุมิว-เซเว่น ขวัญใจคนทำงานรุ่นใหม่

อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม รถอเนกประสงค์ยอดประหยัดน้ำมัน นิยามใหม่ของการเดินทางและการขับขี่ที่หรูหรา มีสไตล์ ล้ำหน้าไปกับเทคโนโลยีเพื่อนนำทางอัจฉริยะ “ไอ-จินนี่” (i-GENii – Genius Exploring Network Interactive Intelligence) เพื่ออีกขั้นของการใช้ชีวิตยุคใหม่ที่เปี่ยมด้วยความทันสมัยและความสุข พร้อมความสะดวกสบายที่ครบครัน ตอบรับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ของครอบครัวทันสมัย และคนทำงานรุ่นใหม่ ลงตัวกับชีวิต ทั้งในวันทำงาน และวันพักผ่อนสบายๆ

BEYOND DESIGN…อีกขั้นแห่งดีไซน์ที่เหนือระดับ

วิถีแห่งรสนิยมการขับขี่ที่มีระดับ ให้ทุกการขับเคลื่อน บ่งบอกถึงคุณค่าและความสง่างามตามแบบฉบับยานยนต์อเนกประสงค์ประหยัดน้ำมัน ยุคใหม่ เพิ่มความโดดเด่นให้รูปลักษณ์ภายนอก ยิ่งสง่างาม สะท้อนความหรูหราล้ำสมัย
• ใหม่! สปอยเลอร์กันชนหน้า ดีไซน์พิเศษ เสริมรูปลักษณ์ด้านหน้าให้โฉบเฉี่ยว หรูหรา สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
• ใหม่! สคูปฝากระโปรงขอบสีเงิน เพิ่มความสวยงามโดดเด่น สะดุดตายิ่งขึ้น
• ใหม่! ล้ออะลูมินั่มอัลลอยด์ปัดเงา สไตล์สปอร์ตเข้ม เพิ่มความโดดเด่น ขนาด 16 นิ้ว แบบ 6 ก้าน
• ใหม่! ตราสัญลักษณ์ Super Platinum สะท้อนเอกลักษณ์แห่งความพิเศษ พร้อมกระจกมองข้างปรับ-พับด้วยไฟฟ้า, ไฟเลี้ยวแบบ LED สไตล์รถยนต์นั่งระดับหรู สปอยเลอร์กันชนท้าย พร้อมแถบสะท้อนแสง ดีไซน์สไตล์สปอร์ตหรู ไฟท้ายขนาดใหญ่ พร้อมไฟตัดหมอกหลัง สวยโดดเด่น เห็นชัดเจน และจุดยึดราวหลังคา Roof Garnish ดีไซน์ Built-in สวยงาม กลมกลืนกับตัวรถ สามารถติด Roof Rack ได้อย่างลงตัว

BEYOND LUXURY…อีกขั้นแห่งความหรูหราที่เหนือระดับ

เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบรับความสุขของทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบ พร้อม “ไอ-จินนี่” ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ ช่วยวางแผนการเดินทาง สะดวกสบายในทุกการเดินทาง ให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น เพียงปลายนิ้วสัมผัส หรูหรา ล้ำสมัย สไตล์รถอเนกประสงค์ยุคใหม่
• ใหม่! แผงคอนโซลหน้าแบบ Flush Surface พร้อมลายไม้ใหม่! Giallo Walnut เพิ่มความหรูหรา ลงตัวกับชุดโครเมี่ยม Platinum Package ที่บริเวณกรอบไฟตัดหมอก ช่องแอร์ คอนโซลเกียร์ และขอบลำโพง ขับเน้นให้ดูภูมิฐานมีระดับ สง่างามทุกมุมมอง

• ใหม่! ชุด Platinum Entertainment ต้นแบบของระบบความบันเทิงที่สมบูรณ์แบบ พัฒนาการล่าสุดจาก Kenwood อีกขั้นของความสะดวกสบาย ด้วยเมนูภาษาไทย ใช้งานง่าย พร้อมหน้าจอระบบสัมผัส (Touch Screen) สีสันสดใส ชัดเจนทุกมุมมอง เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นมัลติมีเดียรูปแบบต่างๆ ดีไซน์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
-เล่นได้ทั้ง DVD/VCD/MP3/WMA และ DivX เชื่อมต่ออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เพื่อความบันเทิงได้ทั้ง iPod, iPhone และเครื่องเล่น MP3 ผ่านทางช่องเสียบ USB และสามารถเลือกภาพหน้าจอดีวีดีได้ตามต้องการ อีกทั้งยังสามารถรองรับ TV Tuner เพิ่มเติมได้
-จอ LCD ขนาดใหญ่ 8 นิ้วบนเพดานห้องโดยสาร มีช่องรับสัญญาณ AV สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ความบันเทิงอื่น ๆ เช่น เครื่องเล่นเกมส์ หูฟังไร้สายแบบอินฟาเรด สามารถแยกฟังก์ชั่นการทำงานให้เหมือนหรือแตกต่างจากเครื่องเล่น DVD ที่คอนโซลหน้าให้ความบันเทิงเป็นส่วนตัวได้สมบูรณ์แบบ
-ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบไร้สาย Built-in Bluetooth สามารถโทรออกได้เพียงกดหมายเลขโทรศัพท์จากหน้าจอ ทั้งยังสามารถกดเพื่อรับสายสนทนาได้โดยไม่ต้องถือโทรศัพท์ เพิ่มความสะดวกสบาย และมั่นใจในการขับขี่
• Rear View Camera กล้องมองภาพขณะถอยจอดจาก Kenwood เพิ่มความมั่นใจขณะถอยจอดด้วยองศาการมองเห็นในมุมกว้าง 130 องศา แนวตั้ง 100 องศา สะดวก ปลอดภัยยิ่งขึ้น

อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่! ยังเป็นยอดรถอเนกประสงค์ที่มีห้องโดยสารโอ่อ่ากว้างขวางในทุกมิติ นั่งสบาย ปรับเปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลาย พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่กว้างขวางกว่า แม้นั่งครบ 7 ที่นั่งและยังเป็นต้นแบบแห่งความเย็นสบายเหนือระดับ ด้วยระบบปรับอากาศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ให้ความเย็นสบายทุกที่นั่ง พร้อมสวิตช์ควบคุมแยกอิสระหน้า-หลัง

BEYOND PERFORMANCE…อีกขั้นแห่งสมรรถนะเหนือระดับ

“อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่!” เอกลักษณ์แห่งสมรรถนะการขับขี่ที่ให้ทั้งความประหยัดน้ำมันสมบูรณ์แบบ ตอบสนองทุกการขับขี่ ด้วยอัตราเร่งที่เร้าใจของเครื่องยนต์ 2 รุ่น
• เครื่องยนต์รุ่น 4JJ1-TCX 3000 Ddi VGS Turbo เทคโนโลยีล่าสุด ออกแบบเพื่อความสนุกสนานในการขับขี่อย่างแท้จริง
• เครื่องยนต์รุ่น 4JJ1-TC 3000 Ddi ในรุ่น พรีโม ทางเลือกแห่งความคุ้มค่า ทั้งแรง ทั้งประหยัดน้ำมัน พร้อมระบบเกียร์ทั้งเกียร์ออโตเมติก และเกียร์ธรรมดาที่ออกแบบพิเศษสำหรับเครื่องยนต์แต่ละรุ่นอย่างลงตัว

BEYOND TECHNOLOGY…อีกขั้นแห่งเทคโนโลยีที่เหนือระดับ

เติมเต็มความสมบูรณ์แบบด้านเทคโนโลยีด้วย
• ใหม่! “ไอ-จินนี่” ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ (i-GENii – Genius Exploring Network Interactive Intelligence) อัจฉริยภาพแห่งยานยนต์อเนกประสงค์ยุคใหม่ที่สามารถนำทางและค้นหาจุดหมายตาม ที่ต้องการเพียงปลายนิ้วสัมผัส
- ประหยัดน้ำมัน โดยระบบจะคำนวณเลือกเส้นทางที่เหมาะสมเพื่อการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันกว่า
- ประหยัดเวลา วางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้ ลดปัญหาเรื่องหลงทาง สามารถคำนวณระยะทางและเวลาในการเดินทาง
- ช่วยหาสถานที่สำคัญยามฉุกเฉินได้ เช่น โรงพยาบาล สถานีตำรวจ สถานีบริการน้ำมัน
- มั่นใจอีกระดับ แม้จะขับไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ด้วยหน้าจอแสดงลักษณะถนนล่วงหน้าที่อาจเป็นอันตราย เช่น ทางโค้งหักศอก
- ใช้งานง่าย ด้วยเมนูภาษาไทย ระบบสัมผัสหน้าจอ (Touch Screen) และระบบเสียงนำทาง

• สมรรถนะขับเคลื่อน 4 ล้อเหนือระดับ แบบ Part Time (ในรุ่นแอคทิโว) สามารถเลือกใช้งานได้ทั้งแบบขับเคลื่อน 2 ล้อ (2H) และ 4 ล้อ (4H/ 4L) ตามความเหมาะสมของสภาพการใช้งานจริง ประหยัดน้ำมันกว่า ค่าบำรุงรักษาต่ำกว่า โดดเด่นด้วยระบบ TOUCH-ON-THE-FLY ระบบเลือกการขับเคลื่อนควบคุมด้วยไฟฟ้าสมบูรณ์แบบสะดวกสบายเพียงปลายนิ้ว สัมผัส สามารถเลือกระบบการขับเคลื่อนจาก 2 ล้อ (2H) เป็น 4 ล้อ (4H) ได้ทันทีเพียงกดปุ่ม (ที่ความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม.) และยังมีระบบเฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป ลดปัญหาล้อหมุนฟรี ขณะวิ่งในทางวิบาก

• ระบบช่วงล่าง Super Move Suspension (Super Mobility on Versatile Equilibrium) ที่ให้สุนทรียภาพในการขับขี่ที่นุ่มนวลสมบูรณ์แบบ เอกลักษณ์เฉพาะอีซูซุ ออกแบบเพื่อให้ความนุ่มนวลในการโดยสารโดยแฉพาะ ให้สมรรถนะในการเกาะถนนเป็นยอด ทรงตัวเป็นเยี่ยม


BEYOND SAFETY…อีกขั้นแห่งระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับ

“อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่!” ความสมบูรณ์แบบของระบบความปลอดภัยที่วางใจได้ ด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัยและทรงประสิทธิภาพระดับมาตรฐานสากล

• ระบบความปลอดภัยป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) ได้แก่
- “ไอ-จินนี่” ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ (i-GENii) หน้าจอแสดงลักษณะถนนล่วงหน้าที่อาจเป็นอันตราย เช่น ทางโค้งหักศอก มั่นใจอีกระดับ แม้จะขับในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย
- ไฟหน้าแบบ Projector ส่องสว่าง เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่
- กระจกมองข้างปรับ-พับ พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED
- ระบบ เบรกพื้นฐานสมบูรณ์แบบกว่า ด้วยหม้อลมเบรกสุญญากาศ 2 ชั้น ขนาดใหญ่ และดิสก์เบรกหน้าคาลิปเปอร์ แบบ 2 ลูกสูบ อีกทั้งยังมีไฟตัดหมอกขนาดใหญ่ทั้งด้านหน้าและหลัง และมีระบบเสริมความปลอดภัยระบบเบรก ABS พร้อม EBD อีกด้วย
• ระบบความปลอดภัยปกป้องขณะเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) ได้แก่
- Dual SRS Airbags
- โครงสร้างเพื่อความปลอดภัยแบบ Body-On-Frame with Crumple Zone ออกแบบพิเศษให้ทนต่อแรงบิดตัวทุกทิศทาง
- ประตูเสริมคานเหล็ก(Door Beam) เสริมความแข็งแกร่งเพื่อความปลอดภัย
- เข็มขัดนิรภัย 3 จุดแบบล็อกอัตโนมัติ
- แกนพวงมาลัยแบบยุบตัวได้

BEYOND LIFESTYLE…อีกขั้นแห่งไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ

“อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่!” ตอบสนองวิถีชีวิตยุคใหม่ที่มีความต้องการหลากหลาย ทั้งแบบขับเคลื่อน 4 ล้อ และขับเคลื่อน 2 ล้อ ทั้งเกียร์ออโตเมติก และเกียร์ธรรมดา พร้อมความพิเศษของสีสันสไตล์ใหม่ นอกจากนี้ยังมีเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ และเบาะนั่งกำมะหยี่ให้เลือกอีกด้วย
• ใหม่! อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม แอคทิโว ขับเคลื่อน 4 ล้อ ขับเคลื่อนชีวิตอิสระ ท้าทายไปกับไลฟ์สไตล์ที่มีระดับ พร้อมความสนุกเร้าใจของขุมพลัง เครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo อีกขั้นของเทคโนโลยีที่ให้ทั้งพลัง ความแรง ความเงียบ และความประหยัดน้ำมัน
• ใหม่! อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม พรีโม ขับเคลื่อน 2 ล้อ สำหรับชีวิตเมืองยุคใหม่ มีสไตล์ ทันสมัยสมบูรณ์แบบ ในรุ่นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo ขับสนุกเร้าใจ ทั้งแรง ทั้งประหยัดน้ำมัน
• ใหม่! อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม พรีโม ขับเคลื่อน 2 ล้อ เครื่องยนต์ 3000 Ddi ทางเลือกใหม่แห่งความประหยัดคุ้มค่า มีให้เลือกทั้งเกียร์ออโตเมติก และเกียร์ธรรมดา ให้ความประหยัดน้ำมันสมบูรณ์แบบ

เพิ่มสีสันสไตล์ใหม่กับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง ด้วยสีใหม่! Nautilus Blue Mica ภูมิฐานบ่งบอกรสนิยมเฉพาะตัว พิเศษเฉพาะอีซูซุมิว-เซเว่น เท่านั้น และสีใหม่! Platinum Silver หรู ทันสมัย ล้ำสไตล์ พร้อมสีพิเศษยอดนิยม Omega Pearl White สง่างาม สูงค่า สะท้อนความมีระดับ และยังมีสี Starry Black Mica และ สี Sterling Silver Metallic ให้เลือกอีกด้วย

ISUZU ดีแมคซ์ ขวัญใจชาวบ้าน

บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดตัว“อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม” และ “อีซูซุมิว-เซเว่น ซูเปอร์ แพลททินั่ม” พร้อมนวัตกรรมล่าสุด ซูเปอร์เทคโนโลยี “ไอ-จินนี่” ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ (i-GENii – Genius Exploring Network Interactive Intelligence) มาตรฐานใหม่แห่งวงการรถปิกอัพที่มาพร้อมความประหยัด ความสะดวกสบาย ปลอดภัย ทนทาน และคุ้มค่าเงิน

Super Design…ดีไซน์อัจฉริยะ

อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่! สะท้อนภาพลักษณ์ใหม่! โดดเด่นเหนือระดับ ล้ำอนาคตด้วย
• ใหม่! กระจังหน้าโครเมี่ยม พร้อมการ์ดกันชนหน้า สีเงินเมทาลิก หรูหรา สง่างาม ในรุ่นไฮแลนเดอร์ และการ์ดกันชนหน้า สีเทาเมทาลิก รุ่นโรดีโอ และแค็บโฟร์ LS ดีไซน์เข้ม บึกบึนสไตล์ออฟโรด
• ใหม่! กระจังหน้าโครเมี่ยมพร้อม U-Shape Under Grille หรูหรา สง่างามรุ่นสเปซแค็บ SLX และ แค็บโฟร์
• ใหม่! สคูปฝากระโปรงขอบสีเงิน เสริมความโดดเด่นและโฉบเฉี่ยว
• ใหม่! บันไดข้างแบบโครเมี่ยม อีกขั้นแห่งการดีไซน์ที่หรูหรา ก้าวขึ้น-ลงมั่นคงแข็งแกร่ง
• ใหม่! ล้ออะลูมินั่มอัลลอยด์ ขนาด 16 นิ้ว ลายก้านคู่ (Twin-spoke) ดีไซน์ปัดเงา สไตล์โฉบเฉี่ยวโดดเด่น พร้อมชุดไฟหน้าแบบ Projector เต็มอารมณ์สปอร์ต กระจกมองข้างแบบโครเมี่ยม พร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED

ห้องโดยสาร โทนสีเบจ ให้ความรู้สึกผ่อนคลายตลอดการเดินทาง แผงคอนโซลสไตล์ “แบล็คโมเดิร์นกราไฟท์” (Black Modern Graphite) ตกแต่งด้วยขอบวงแหวนโครเมี่ยม Platinum Package เต็มอารมณ์สปอร์ต เบาะนั่งดีไซน์พิเศษเฉพาะรุ่น ผ้าลายสปอร์ตสีทูโทนในรุ่นไฮแลนเดอร์ ผ้าลายสปอร์ตสีเทาเข้มในรุ่นสเปซแค็บ SLX และเบาะนั่งกึ่งหนังแท้ในรุ่นแค็บโฟร์ LS และโรดีโอ มาตรวัดเรืองแสง Super Vision พร้อมจอแสดงข้อมูลการใช้งานแบบ Multi-information Meter ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมลักษณะการขับขี่ให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น

Super Comfort…ความหรูหราสะดวกสบายอัจฉริยะ

อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่! ก้าวล้ำสู่ความหรูหรา สะดวกสบาย เพิ่มสุนทรียภาพในการขับขี่ พร้อมเปิดโลกทัศน์แห่งยานยนต์ยุคใหม่ ด้วยโทนสีเบจ

ใหม่! ไอ-จินนี่ (i-GENii – Genius Exploring Network Interactive Intelligence) ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ ครั้งแรกในวงการรถปิกอัพเมืองไทย อัจฉริยภาพแห่งรถปิกอัพยุคใหม่ที่สามารถนำทางและค้นหาจุดหมายตามที่ต้องการ เพียงปลายนิ้วสัมผัส

• ช่วยประหยัดน้ำมันโดยระบบจะคำนวนเลือกเส้นทางที่เหมาะสมเพื่อการขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันกว่าช่วยประหยัดเวลา ลดปัญหาเรื่องหลงทาง สามารถคำนวณระยะทางและเวลาในการเดินทาง ช่วยวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้ มั่นใจอีกระดับแม้จะขับไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ด้วยหน้าจอแสดงลักษณะถนนล่วงหน้าที่อาจเป็นอันตราย เช่น ทางโค้งหักศอก ใช้งานง่าย ด้วยเมนูภาษาไทย พร้อมระบบสัมผัสหน้าจอ (Touch Screen) และระบบเสียงนำทาง

ใหม่! Platinum Entertainment ระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบจาก Kenwood

• ติดตั้งเครื่องเล่น DVD ที่คอนโซลหน้าขนาด 7 นิ้ว (2 Din) ควบคุมการทำงานได้จากหน้าจอด้วยระบบสัมผัส (Touch Screen) พร้อมรีโมทคอนโทรล เล่นได้ทั้ง DVD/VCD/MP3/WMA และ DivX เชื่อมต่ออุปกรณ์ความบันเทิงได้ทั้ง iPod, iPhone และเครื่องเล่น MP3 อื่นๆ ผ่านทางช่องเสียบ USB
• ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบไร้สาย Built-in Bluetooth สามารถโทรออกได้เพียงกดหมายเลขโทรศัพท์จากหน้าจอ ทั้งยังสามารถกดเพื่อรับสายสนทนาได้โดยไม่ต้องถือโทรศัพท์ เพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยในการขับขี่

Platinum Vision Camera กล้องมองภาพขณะถอยจอด จาก Kenwood กล้องจะส่งสัญญาณภาพมุมมองด้านหลังของรถมายังจอ LCD ที่คอนโซลหน้าขณะเข้าเกียร์ถอย

Super Power…ขุมพลังอัจฉริยะ

อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่! ขับเคลื่อนสู่ทุกเส้นทางอย่างชาญฉลาดกับ 3 เครื่องยนต์อัจฉริยะ ที่สุดแห่งความประหยัดน้ำมันสายพันธุ์แท้ เครื่องยนต์ดีเซล อีซูซุ ไอ-เทค ซูเปอร์คอมมอนเรล พัฒนาการล่าสุดเพื่อความสมบูรณ์แบบแห่งสมรรถนะทั้งด้านการ ประหยัดน้ำมัน ความทนทาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานยูโร 3 มีให้เลือกหลากรุ่น หลากความแรง ตอบสนองความต้องการอันหลากหลายเพื่อการใช้งานยุคใหม่ พร้อมระบบเกียร์ล้ำสมัยสุดที่ออกแบบรับกับเครื่องยนต์แต่ละรุ่นอย่างลงตัว

• เครื่องยนต์รุ่น 4JK1-TC 2500 ดีดีไอ ประหยัดน้ำมันสุด ตอบสนองการใช้งานที่คุ้มค่า
• เครื่องยนต์รุ่น 4JJ1-TC 3000 ดีดีไอ ทั้งแรง ทั้งประหยัดน้ำมัน
• เครื่องยนต์รุ่น 4JJ1-TCX 3000 ดีดีไอ VGS Turbo แรงเร้าใจ เทคโนโลยีล่าสุด ทางเลือกแห่งการขับขี่ที่สนุก แต่ยังคงความประหยัดน้ำมันในแบบอีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรลสายพันธุ์แท้

Super Performance & Durability…สมรรถนะและความทนทานอัจฉริยะ

อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่! มีโครงสร้างและตัวรถที่แข็งแกร่ง สมบุกสมบันสุด ด้วยโครงสร้างห้องโดยสารแบบมีเสากลาง (Safety Pillar Cab) ในรุ่นสเปซแค็บ และโครงสร้างกระบะท้ายแบบชิ้นเดียว โดยมีพื้นที่หน้าตัดแชสซีส์ใหญ่สุด ขนาด 145 x 70 มม. นอกจากนี้เครื่องยนต์ยังทนทานสุด ด้วยชุดขับเคลื่อนเพลาลูกเบี้ยวด้วยเฟืองและโซ่ (Timing Gear and Chain) ไม่ต้องการการบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งาน ให้สมรรถนะการขับขี่มั่นใจสุด เกาะถนนเป็นยอด ทรงตัวเป็นเยี่ยม

อีซูซุดีแมคซ์ได้พิสูจน์ความแข็งแกร่งในด้านสมรรถนะและความทนทานให้เป็น ที่ ประจักษ์แก่ผู้ใช้รถชาวไทยและนานาประเทศ ด้วยการคว้าชัยอันอับ 1 ในสมรภูมิการแข่งขันรถขับเคลื่อนสี่ล้อระดับนาชาชาติ “เอเชียครอสคันทรีแรลลี่” ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ตั้งแต่ปี 2007 – 2009 และล่าสุดได้กวาด 4 รางวัล คือ แชมป์อันดับ 1 โอเวอร์ออล อันดับ 1 รุ่นโมดิฟาย อันดับ 1 รุ่นโปรดักชั่นคาร์ และอันดับ 1 ประเภททีมมาครองอย่างเต็มภาคภูมิ หลังฝ่าฟันเส้นทางสุดวิบากและหฤโหดจากกรุงเทพฯ เลาะสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และพุ่งขึ้นเหนือไปสิ้นสุดที่จังหวัดเชียงใหม่ ระยะทางรวม 2,470 กม. นอกจากนี้ยังคว้าชัยในการแข่งขันแรลลี่สุดหฤโหดระดับโลก “ดาการ์แรลลี่ 2009” โดยได้อันดับ 1 รุ่นรถปิกอัพดีเซล T 1.2 (Amateur) และเป็นอันดับที่ 11 จากรถยนต์ที่เข้าแข่งขันทั้งหมด นอกจากนี้ยังเป็น 1 ในรถเพียงไม่ถึง 20 คันที่สามารถขับฝ่าอุปสรรคทั้งหลายมาได้ครบทั้งหมด 14 สถานี จากรถยนต์ที่เข้าแข่งขันทั้งหมดถึง 177 คัน นับเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่พิสูจน์สมรรถนะและความทนทานของรถปิกอัพสัญชาติ ไทย

Super Safety…ระบบเพื่อความปลอดภัยอัจฉริยะ

อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่! มอบความมั่นใจด้วยระบบความปลอดภัย 2 ระดับ

• ระบบความปลอดภัยป้องกันก่อนการเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) อาทิ ไอ-จินนี่ ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ (i-GENii) โดยหน้าจอแสดงลักษณะถนนล่วงหน้าที่อาจเป็นอันตราย, Platinum Vision Camera กล้องมองภาพขณะถอยจอด, ไฟหน้าแบบ Projector ส่องสว่าง ปลอดภัยและยังไม่รบกวนสายตาของผู้ขับขี่รถยนต์ที่วิ่งสวนทางมาอีกด้วย และระบบเบรกพื้นฐานมั่นใจกว่า ด้วยหม้อลมเบรกสุญญากาศ 2 ชั้น ขนาด 8 นิ้ว + 9 นิ้ว เบรกหยุดมั่นใจ พร้อมดิสก์เบรกหน้าคาลิปเปอร์แบบ 2 ลูกสูบ (2-Pot Caliper) เป็นต้น

• ระบบความ ปลอดภัยปกป้องขณะเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) อาทิ แอร์แบคคู่ (Dual SRS Airbags) ช่วยลดแรงกระแทกต่อผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า โดยทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัย, โครงสร้างตัวถังและประตูเสริมคานเหล็ก (Door Beam) เสริมความแข็งแกร่งและช่วยรองรับแรงกระแทกขณะเกิดการชน และพวงมาลัยแบบยุบตัวได้ เป็นต้น

Super Line-up…ทางเลือกอัจฉริยะ

อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ใหม่! มีให้เลือกหลากหลายรุ่น หลากหลายเครื่องยนต์ตอบสนองทุกความต้องการของผู้ใช้รถ
• ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ แค็บโฟร์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ปิกอัพ 4 ประตูอัจฉริยะ ยอดประหยัดน้ำมัน ทั้งรุ่นแค็บโฟร์ LS ขับเคลื่อน 4 ล้อ, แค็บโฟร์ SLX และ SXขับเคลื่อน 2 ล้อ
• ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ไฮแลนเดอร์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ปิกอัพยกสูงอัจฉริยะ ยอดประหยัดน้ำมัน เท่ ล้ำสมัย ให้ความรู้สึกแห่งการขับขี่ที่เหนือระดับ ความสะดวกสบายพร้อมสรรพ โดดเด่นในทุกเส้นทาง บ่งบอกอีกระดับของรสนิยมที่เหนือกว่าอย่างแท้จริง มีให้เลือกทั้งรุ่น 4 ประตู และ 2 ประตู
• ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ โรดีโอ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ปิกอัพออฟโรดอัจฉริยะ ยอดประหยัดน้ำมัน สีสันใหม่แห่งความเร้าใจใหม่ของคนหัวใจลุย ล้ำหน้าด้วยระบบ TOUCH-ON-THE-FLY ระบบเลือกการขับเคลื่อนควบคุมด้วยไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ เฟืองท้ายแบบมีลิมิเต็ดสลิป ลดปัญหาล้อหมุนฟรีขณะวิ่งในทางวิบาก
• ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ สเปซแค็บ ซูเปอร์ แพลททินั่ม ปิกอัพยอดนิยมอัจฉริยะ ยอดประหยัดน้ำมัน คุ้มค่า…นำทางรวย ล้ำหน้าสุด ประหยัดน้ำมันสุด สร้างงาน สร้างผลกำไรทุกงานบรรทุก ผสานรูปลักษณ์ที่หรูหรา ล้ำสมัย และความสะดวกสบายครบครัน พร้อมความแข็งแกร่งทนทานที่เป็นเอกลักษณ์ของอีซูซุ
• ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ สปาร์ค ซูเปอร์ แพลททินั่ม ปิกอัพพลังบรรทุกอัจฉริยะ ยอดประหยัดน้ำมัน แข็งแกร่ง ทนทาน ขนส่งคุ้มค่า สร้างผลกำไรทุกเส้นทาง

นอกจากนี้ยังเพิ่มทางเลือกอัจฉริยะแห่งความคุ้มค่าในยุคประหยัดน้ำมัน ด้วย ใหม่! อีซูซุดีแมคซ์ ซูเปอร์ แพลททินั่ม รุ่น SLX สมาร์ท เครื่องยนต์ 2500 Ddi เกียร์ธรรมดา ผู้นำรถปิกอัพประหยัดน้ำมันแห่งยุค คุ้มค่าทุกการใช้งาน ที่มีให้เลือก 2 สี สุดสมาร์ท ได้แก่ ใหม่! สีเงินแพลททินั่ม (Platinum Silver) และ สีบรอนซ์เงินเมทาลิค (Sterling Silver Metallic)

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Cadillac CTS-V Coupe ใครมีใช้แล้วบ้างยกมือขึ้น

เรามีมติเป็นเอกฉันท์เลยว่า 2011 Cadillac CTS-V Coupe นั้นสวยไร้ที่ติ สวยไม่เกรงใจใครเลยทีเดียว ไม่เพียงเฉพาะได้รับการยกย่องว่าเป็นการออกแบบที่น่าดึงดูดใจ และมีสเน่ห์อย่างร้ายกาจของ General Motors ในรอบทศวรรษแล้ว 2011 Cadillac CTS-V Coupe รุ่นนี้ยังถูกยกย่องให้เป็นยานพาหนะที่ดูดีที่สุดบนท้องถนนในปัจจุบันนี้เลยทีเดียวพิสูจน์กันอีกครั้งกับ Cadillac ที่มาพร้อมกับคุณภาพคับแก้ว และ designs ระดับ world-class

2011 Cadillac CTS-V Coupe มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด supercharged V8 มีกำลังแรงจัดถึง 556 แรงม้า แถมจัดให้ 6 speed เกียร์แมนนวลเป็นอุปกรณ์ standard ของรุ่นนี้ด้วย ราคาก็น่าจะต่ำกว่า 2,200,000 บาท ($65,000) และนั่นทำให้ CTS-V Coupe ถูกจัดเป็น high-powered sports coupe ในตลาดเลยทีเดียว

ภาพโดยรวมของรูปทรงภายนอกจะเหมือนกับ Coupe รุ่น standard ไม่ว่าจะเป็นไฟตัดหมอกที่ใหญ่ขึ้น รูปทรงด้านหน้าที่คมเฉี่ยว แต่ที่พิเศษคือ จะเป็นล้อ sedan ขนาด 19 นิ้ว โหลดต่ำด้วยยางสปอร์ต PS2 ของ มิชลิน (Michelin Pilot Sport PS2) โดยด้านหน้าจะใช้ 255/40-series และด้านหลังจะใช้ 285/35

วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2553

BMW กับแนวคิด ‘รักรถ รักษ์โลก’

BMW X1
บีเอ็มฯบุกมอเตอร์โชว์เต็มสูบ เปิดตัวครอสโอเวอร์ X1 เคาะราคาไม่เกิน 3.8 ล้าน งัดกลยุทธ์ไพรซิ่ง เปิดตัวซีรีส์ 7 เครื่องเบนซิน 3.0 ลิตร เคาะราคาต่ำกว่าคู่แข่งร่วม 5 แสน ส่งซีรีส์ 3 ตัวเล็กสุดลุยตลาดคอมแพ็กต์ เคาะราคาต่ำกว่ารุ่นเดิมร่วมแสน
นายมิคาเอล คอร์ดิส ประธาน บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘รักรถ รักษ์โลก’ หรือ ‘Ecology Driving Save the Earth’ ของงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ครั้งที่ 31 ทางบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทยนำเสนอเทคโนโลยี Efficient Dynamics ที่เหนือชั้น ซึ่งเป็นการตอบโจทย์อย่างชัดเจน อีกทั้งยังสามารถสัมผัสได้จริงสำหรับลูกค้า เทคโนโลยี Efficient Dynamics นี้ นอกจากจะทำให้รถยนต์มีสมรรถนะสูงขึ้นแล้ว ยังช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย
นอกจากนี้ บริษัทยังจะเปิดตัวเป็นครั้งแรกในเมืองไทย สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ BMW X1 ที่เพิ่งได้รับรางวัล ‘Off-Road of the Year’ ในคลาส Crossover จุดเด่นของ BMW X1 คือการที่มันเป็นรถแบบ Crossover ที่เน้นความสปอร์ตคล่องตัวอย่างมีสไตล์ ราคาอยู่ระหว่าง 3.5-3.8 ล้านบาท ในส่วนของมินิ ก็จะมีการจัดแสดงรถยนต์มินิรุ่นฉลองครบรอบ 50 ปี MINI 50 Mayfair และ Camden ซึ่งกำลังจะหยุดการผลิตในไม่ช้านี้ พร้อมกับการเปิดตัว BMW S 1000 RR ซึ่งเป็นซูเปอร์ไบค์คันแรกจากบีเอ็มดับเบิลยู การบุกตลาดอย่างครบทุกเซ็กเมนต์ในปีนี้ ทำให้บริษัทคาดว่า จะมียอดขายเติบโตไม่น้อยกว่า 10 %

BMW 740Li
“หลังจากความสำเร็จของ BMW 740Li และ BMW 730Ld ซึ่งเป็นสุดยอดรถยนต์ระดับซูเปอร์ซาลูนสำหรับเครื่องยนต์เบนซินและเครื่องยนต์ดีเซลในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ครั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยูได้เสริมไลน์ผลิตภัณฑ์ระดับซูเปอร์ซาลูนด้วย BMW 730Li เครื่องยนต์เบนซินที่ให้สมรรถนะสูง ที่สามารถใช้พลังงานทางเลือกแก๊สโซฮอล์ E20 ได้แล้ว มันยังเป็นรถระดับซูเปอร์ซาลูนที่มีอัตราการประหยัดน้ำมันและความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดีที่สุดในคลาสคันหนึ่ง โดยตั้งราคาจำหน่ายเพียง 7.299 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาแนะนำสำหรับ 100 คันเท่านั้น และมีราคาถูกกว่าคู่แข่ง ประมาณ 500,000 บาท ”
ประธาน บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยัง BMW 325i Sport สุดยอดแห่งสปอร์ตซีดานที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี EfficientDynamics และสามารถใช้พลังงานทางเลือกแก๊สโซ ฮอล์ E20 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร 218 แรงม้า ผลิตมาจำนวนจำกัดเพียง 48 คันนี้ ในราคา 3.799 ล้านบาท พร้อมกันนี้ บริษัทยังเปิดตัว BMW 318i รุ่นเริ่มต้น ซึ่งเหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมที่เน้นความ คุ้มค่า ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 180 นิวตัน-เมตร ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 2.299 ล้านบาท หรือลดลงจากรุ่นเดิมประมาณ 100,000 บาท
ในส่วนของแบรนด์มินิ จะเปิดตัว MINI 50 Mayfair และ MINI 50 Camden รุ่นพิเศษที่ถูกผลิตขึ้นมาในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปีนี้ โดยตั้งราคาจำหน่าย 2.6 ล้านบาทและ 3 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ

TOYOTA prado 3.0 ลิตร 4.85 ล้านบาท

โตโยต้า พราโด เครื่องดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร แรงบิดมหาศาล 410 นิวตัน/เมตร ราคา 4.85 ล้าน
อัจฉรีย์ ตันติยันกุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด ค่ายอีตั้น อิมปอร์ท ผู้นำเข้ารถยนต์อิสระรายใหญ่ กล่าวว่า จากกระแสตอบรับที่ดีในนิว พราโด รุ่น 4.0 ลิตรและ 2.7 ลิตร (เครื่องยนต์เบนซิน)ที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีก่อน ทำให้บริษัทไม่ลังเลใจที่จะนำเข้านิว พราโด ดีเซลเทอร์โบ เข้ามาส่งมอบให้กับลูกค้าที่รักในสมรรถนะสูงของรถสไตล์ออฟโรด แต่หรูหราและสะดวกสบายแบบเอสยูวี พราโด ฟูลโมเดลเชนจ์ บ่งบอกถึงบุคลิกที่ดุดัน ไฟหน้าซีนอนพร้อมระบบฉีดล้างอัตโนมัติ ล้อแม็ก 18 นิ้ว ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบฟูลไทม์ โดยระบบช่วงล่างเป็น KDSS สามารถปรับความสมดุลของล้อและช่วงล่างในขณะขับขี่ ทั้งยังมีระบบควบคุมการทรงตัวทั้ง VSC , A-TRC , DAC และ HAC ซึ่งระบบทั้งหมดจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายสำหรับการขับขี่ ในแบบออนโรดและออฟโรด เทคโนโลยี Multi-Terrain Select ถูกนำมาใช้ใน พราโด ใหม่เป็นครั้งแรก โดยผู้ขับสามารถเลือกระบบการทำงานที่เหมาะสมกับเส้นทางที่ใช้ เช่น โคลน ฝุ่นทราย และทางลาดชัน เพื่อให้การขับขี่ในเส้นทางออฟโรดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการทำงานของระบบนี้คอมพิวเตอร์จะเข้าไปควบคุมการทำงานของเบรก และการส่งกำลังเครื่องยนต์อัตโนมัติให้เหมาะสมกับสภาพเส้นทางในขณะนั้น จากนวัตกรรมล้ำสมัยของพราโด ใหม่ ผนวกเข้ากับความปลอดภัยในการขับขี่ จึงทำให้พราโด ใหม่ ได้รับการตอบรับทั้งจากลูกค้าเดิมที่เคยครอบครอง และยังมีลูกค้าใหม่ให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยลูกค้ากลุ่มนี้ชื่นชอบนวัตกรรมขับเคลื่อน 4 ล้อ สไตล์ SUV ที่มีเทคโนโลยี สมรรถนะ ความปลอดภัย และความเป็นรถอเนกประสงค์ที่สามารถใช้ได้จริงทั้งการขับขี่แบบออนโรด นอกจากนี้ยังมีระบบ Multi Terrain monitor กล้องอัจฉริยะ 4 ตัว ที่ช่วยในการมองเห็นรอบทิศทาง สุดยอดออฟชั่นที่มาพร้อมกับตัวรถ ห้องโดยสารภายในมีพื้นที่กว้างขวาง เบาะนั่งหนังแท้ นั่งสบายทั้ง 7 ที่นั่ง โดยเบาะแถว 3 ปรับพับขึ้น-ลงด้วยระบบไฟฟ้า หลังคาซันรูฟ ระบบมัลติมีเดีย 17 ลำโพง พร้อมจอ LCD ด้านหลัง ขนาด 9 นิ้ว มีระบบ Smart Entry และ Smart System เพิ่มความสะดวกสบายในการเปิด-ล็อคประตู โดยไม่ต้องใช้กุญแจหรือรีโมท ด้านเครื่องดีเซลเทอร์โบขนาด 3.0 ลิตร ขุมพลัง 173 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 410 นิวตันเมตรที่ 1,600-2,800 รอบต่อนาที เกียร์ออโต้ 5 สปีด อัตราเร่งสูงสุด 175 กม./ชม. ค่าตัวตั้งไว้ที่ 4,850,000 บาทครับ เหมาะสำหรับคนไม่แคร์สื่อ ในยุคน้ำมันแพง

วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ระบบนำทางใช้อย่างไรไม่หลงทาง?

การใช้เนวิเกเตอร์ใน การนำทางนั้นต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับการทำงานของซอฟต์แวร์ การแสดงผลและเสียงบอกนำทางของเครื่องก่อนจึงจะใช้งานได้อย่างดี สิ่งที่ควรทราบคือ เนื่องจากซอฟต์แวร์นำทางเกือบทั้งหมดเขียนในต่างประเทศ ซึ่งการออกแบบถนนไม่ได้เป็นแบบบ้านเรา ทำให้เกิดข้อจำกัดในการใช้งานบางอย่างขึ้น เช่น

1. ถนนยกระดับ ซึ่งในกรุงเทพมีถนนซ้อนกันพอสมควรทำให้เครื่องงงว่าเราอยู่ด้านบนหรือด้าน ล่าง แต่ในประเทศเช่นอเมริกาเท่าที่เห็นจะไม่มีการสร้างถนนยกระดับซ้อนกับถนนด้าน ล่าง การออกแบบซอฟต์แวร์จึงไม่รองรับเรื่องนี้ ซึ่งแน่นอนว่าการใช้งานนั้นไม่ควรจะดูแต่การนำทางเฉพาะหน้าเท่านั้น ควรศึกษาเส้นทางที่เครื่องเลือกให้เดินทางและจดจำเส้นทางไว้ในใจด้วย อย่าพึ่งแต่เครื่องอย่างเดียว

2. ทางแยกสะพานต่างระดับที่ซับซ้อน รวมทั้งทางต่างระดับในทางด่วนหรือมอเตอร์เวย์ ที่เพิ่งเจอเมื่อวานคือถนนวิภาวดีจะไปเซ็นทรัลลาดพร้าว ตอนนี้มีสะพานข้ามไป เนื่องจากไม่ได้ไปแถวนั้นบ่อยนักก็จะงงว่าเส้นไหนกันแน่ เพราะเริ่มจากเส้นเดียวแต่แตกออกไป 3 ทางแยก ณ จุดเดียวกัน หากฟังเสียงอย่างเดียวอาจจะหลงได้ ต้องดูเส้นนำทางประกอบรวมทั้งป้ายจราจรด้วย เช่นเดียวกับข้อแรกคือหากศึกษาเส้นทางของเครื่องก่อนก็จะดี

3. อย่าขับตามเครื่องตลอด ถ้ารู้ทางบางส่วนอยู่แล้วให้ขับตามใจเรา ถ้าเราขับตามทางที่เราชอบเครื่องจะคำนวณเส้นทางใหม่เอง พอไปบริเวณที่ไม่รู้ค่อยเชื่อเครื่อง ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็เชื่อเครื่องตลอด

4. นำทางในเมืองอยู่ดีๆ คำนวณเส้นทางใหม่เอง แม้ว่าไม่ได้เลี้ยวผิดหรือจอดอยู่เฉยๆ อันนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ในบริเวณตึกสูงซึ่งจะบังสัญญาณทำให้ตำแหน่งแกว่ง เครื่องก็จะงงว่าอยู่ตรงไหนกันแน่ อันนี้ก็เช่นเดียวกันให้ดูในหน้าจอสรุปเส้นทางแล้วจดจำไว้ว่าเลี้ยวที่ไหนไป อย่างไรบ้างคร่าวๆ ก็จะช่วยได้ ถ้าไม่ศึกษาเส้นทางไว้เลยมึนแน่นอนครับถ้าไปบริเวณที่มีตึกหนาแน่น

5. กฎจราจร บางครั้งอาจจะเจอว่าเครื่องบอกให้เลี้ยวขณะที่ป้ายจราจรบอกเลี้ยวไม่ได้ ก็อาจจะผิดพลาดตอนเก็บข้อมูลหรือตำรวจเปลี่ยนการจราจร ก็ต้องเชื่อป้าย

6. เสียงบอกนำทางกับเส้นนำทางไม่ตรงกัน อันนี้ก็เกิดขึ้นได้จากการโปรแกรมที่ไม่ถูกต้อง ต้องดูเส้นนำทางเป็นหลัก

7. พาเข้าซอยตัน เคยเจอหนึ่งครั้ง ก็ให้เครื่องคำนวณใหม่โดยถอยหลังกลับแล้วดูแผนที่ในเครื่องประกอบ

8. พาไปไม่ถึงจุดหมาย แต่พาอ้อมไปบริเวณใกล้เคียง อันนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการสร้างจุดหมายของเราในบริเวณที่ไม่มีถนนในแผนที่ ทำให้เครื่องคำนวณไปยังจุดที่ใกล้จุดนั้นที่สุดตามข้อมูลแผนที่ ดังนั้นจะสร้างตำแหน่งบ้านหรือจุดอื่นๆ เอง ให้ดูว่ามีถนนหน้าบ้านหรือไม่ ถ้าไม่มีให้ไปสร้างตำแหน่งที่มีถนนบริเวณเป็นจุดสุดท้ายซึ่งใกล้และเป็นถนน ที่ไปยังจุดหมาย

9. เส้นทางที่เครื่องเลือกให้ไม่ถูกใจ ทำไงดี มี 2 ทางคือ ส่วนที่รู้ให้ขับตามทางที่เราชอบเครื่องจะคำนวณเส้นทางใหม่เอง พอไปบริเวณที่ไม่รู้ค่อยเชื่อเครื่อง ที่เป็นเช่นนี้เพราะเครื่องไม่มีข้อมูลจราจรมาประกอบนอกจากความเร็วเฉลี่ย ที่ถูกโปรแกรมมาเป็นค่าคงที่ แต่ถ้าเมื่อใดมีข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์มาประกอบเชื่อเครื่องน่าจะดีกว่า ครับ อีกวิธีก็ใช้การแต่งเส้นทางโดยสร้างจุดแวะให้เครื่องวิ่งไปในทางที่ชอบ หรือเครื่องที่สร้างเส้นทางได้ก็สร้างเส้นทางเก็บเอาไว้

ทั้งนี้ก็สรุปได้ว่าเนวิเกเตอร์เป็น เครื่องช่วยในการนำทางแต่ผู้ขับขี่ก็คือผู้กุมพวงมาลัย และเป็นผู้นำทางตัวจริง อย่าทิ้งความสามารถนี้ไปและพึ่งแต่เครื่อง ให้ศึกษาเส้นทางที่เครื่องแนะนำก่อนออกเดินทาง ดูในจุดที่น่าจะเป็นปัญหา จดจำเส้นทางคร่าวๆไว้เองด้วย และหากไปไกลศึกษาแผนที่กระดาษประกอบด้วยก็จะใช้เนวิเกเตอร์ได้อย่างมีความสุขครับ

เนวิเกเตอร์ ที่เหมาะสมกับคนไทย

สำหรับผู้ที่มองหาเนวิเกเตอร์ไว้ใช้สักเครื่องคงจะเคยได้ยินเนวิเกเตอร์ยี่ห้อการ์มินมาบ้าง ยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้อที่ทำจีพีเอสมาเป็นเวลานาน และเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ขายจีพีเอสในประเทศของเรา อย่างไรก็ตาม จีพีเอส ของการ์มินจะมีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ บ้าง แต่เมื่อปีที่แล้วประมาณช่วงนี้ การ์มินก็แนะนำเนวิเกเตอร์รุ่นนูวี่ 200 เข้าสู่ตลาด ซึ่งเป็นรุ่นแรกของ การ์มินในเมืองไทยที่มีราคาต่ำกว่า 2 หมื่นบาท ทำให้คนจำนวนมากที่สนใจสินค้าไอทีหามาเป็นเจ้าของกันจำนวนพอสมควร โดยในช่วงเวลานั้นอีกแบรนด์คือ มีโอ้ ก็ทำตลาดกับรุ่นใกล้เคียงกันในราคาที่ต่ำกว่า

เหตุผลที่ต้องมีการพูดถึงอดีตก็เพราะจากข้อมูลที่ทราบมาถือได้ว่านูวี่ 200 เป็นตัวสตาร์ทเนวิเกเตอร์เข้าสู่ตลาดแมสมากขึ้นเพราะสนนราคาที่คนทั่วไปพอ เอื้อมถึง ซึ่งมีองค์ประกอบที่พอเหมาะนอกจากเรื่องราคาแล้วยังมีหน้าจอแบบสัมผัส เมนู แผนที่ เสียงบอกนำทางเป็นภาษาไทย แผนที่ดี เมนูใช้ง่าย

วันนี้น้องใหม่ที่ออกมาแทนนูวี่ 200 ก็คือ นูวี่ 205 ซึ่งมีการเปิดตัวเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนในสนนราคาที่เท่าเดิมคือ 12,700 บาท มาลองดูกันว่าในหนึ่งปี การ์มินพัฒนาอะไรให้กับเนวิเกเตอร์ที่เป็น entry level รุ่นนี้ ถ้าเป็นรถก็คงเหมือนยาริสหรือแจ๊ซนั่นเอง

ด้านฮาร์ดแวร์ นูวี่ 205 ใช้ชิพประมวลผลจีพีเอสความไวสูงที่ใช้เทคโนโลยี HotFix ซึ่งทำให้การล็อกดาวเทียมเพื่อหาตำแหน่งในตอนเปิดเครื่องใหม่ๆ เป็นไปได้เร็วขึ้นกว่าชิพความไวสูงรุ่นก่อนๆ เทคโนโลยีนี้ก็จะช่วยให้การใช้งานเมืองดีขึ้นโดยเฉพาะตอนออกจากบ้าน ยามเช้าหรืออีกจากที่ทำงานในยามเย็น หน่วยความจำภายในมีมากขึ้นเท่าตัวจาก 500 MB เป็น 1 GB ซึ่งก็ดีในการใส่แผนที่ประเทศอื่นๆ เข้าไป


สำหรับแผนที่ไทยใช้เนื้อที่แค่ 80 กว่า MB ในเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด หรือใส่รูปภาพเข้าก็ได้เยอะขึ้น นอกจากนั้นก็มีการเปลี่ยนรูปแบบหน่วยความจำภายนอกจาก SD มาเป็น micro-SD แทน และหน้าจอที่มีความละเอียดมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปลักษณ์ภายนอกก็ดูเหมือนเดิมยกเว้นสี่ที่เปลี่ยนจากสีเงินเป็นสีเทา อุปกรณ์ติดรถก็เป็นแบบรุ่นเดิม

ส่วนของซอฟต์แวร์ เป็นส่วนที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดสำหรับนูวี่รุ่นนี้ โดยมีฟังก์ชันที่เพิ่มขึ้นหรือปรับปรุงดังนี้ ที่ใช้ประจำเก็บได้มาถึง 1,000 จุด สามารถเก็บเส้น track ได้ ซึ่งเนวิเกเตอร์รุ่นก่อนๆ ไม่มียกเว้น นูวี่ 710 ซึ่งนำไปแสดงบน Google Earth ได้และเหมาะสำหรับกลุ่มออฟโรด

จุดแวะสร้างได้เป็นจำนวนมากคล้ายกับการสร้างเส้นทาง (route) แต่เก็บบันทึกไว้ไม่ได้ สร้างหมวดหมู่ของที่ใช้ประจำได้อันนี้นูวี่ไม่เคยมีมาก่อน นำทางด้วยรูป (ต่อกับ Garmin Connect หรือบันทึกคู่กับรูปที่มีอยู่ในเครื่อง) อันนี้ก็เป็นฟังก์ชันที่ผมงงว่า ทำมาไม่เสร็จหรือเปล่าไม่เหมือนรุ่นที่เคยลองที่เอารูป geo-tagged มาใส่แล้วนำทางได้ อันนี้ใส่แล้วนำทางไม่ได้ ฟังก์ชันตำแหน่งปัจจุบัน? ซึ่งจะบอกพิกัดปัจจุบันที่อยู่ที่ใกล้ที่สุด แยกที่ใกล้ที่สุดโรงพยาบาลสถานีตำรวจและปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุด รูปรถที่แสดงตำแหน่งของเรา แบบใหม่ที่ขยับได้แทนที่จะเป็นรูปแบบทื่อๆ เหมือนเดิม

นอกจากนี้ข้อมูลบนหน้าจอก็มีการปรับปรุงให้ข้อมูลชัดเจนมากขึ้น เช่น บอกการเลี้ยวจุดข้างหน้าโดยมีลูกศรบนหน้าจอ และยังมีการแสดงข้อมูลการเดินทางเมื่อเลือกจุดหมายแล้ว ซึ่งก็จะบอกถึงระยะทางและเวลาในการเดินทางอีกด้วย เมนูการใช้งานก็มีการเปลี่ยนไอคอนให้ดูทันสมัยมากขึ้น รวมทั้งปรับอะไรที่ไม่ค่อยเหมาะให้ดีขึ้น ในด้านการนำทางก็มีการแนะนำเส้นทางที่ดีขึ้นบ้าง

ในเรื่องแผนที่ที่มากับเครื่องรุ่นนี้มีการปรับปรุงขึ้นอีกเล็กน้อยคือ เสริมเส้นถนนวงแหวนอุตสาหกรรมจากบางนาไปพระราม 2 และมีขนาดเล็กลง ซึ่งแผนที่นี้มีการแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ หรือไม่ ต้องขอทดสอบดูอีกสักระยะก่อนจะหาข้อสรุปได้ ก็หวังใจว่าจะมีการปรับปรุงให้มีความสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ อย่างที่เคยบอกว่าแผนที่นั้นไม่มีแผนที่ใดในประเทศใดเมืองใดสมบูรณ์ร้อย เปอร์เซ็นต์

โดยสรุป นูวี่ 205 เป็นจีพีเอสที่มีการปรับปรุงทั้งลูกเล่นและความสามารถให้ดีขึ้น มีความสามารถหลายอย่างที่แปลกใจว่ามีในเครื่องรุ่นเล็กแบบนี้ด้วย การใช้งานก็สะดวกและดีขึ้นพอควรทีเดียว ซึ่งก็น่าจะทำให้คนที่มีรุ่นเดิมอยู่แล้วสนใจได้อย่างแน่นอน และคนที่เข้ามาใหม่ก็ถือว่าคุ้มแน่นอนเพราะได้ของดีขึ้นในราคาที่เท่าเดิม สุดท้ายก็หวังว่าประเทศของเราจะเดินไปในทางที่ดีขึ้นในระยะยาว

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

New Suzuki Swift [compact cars]

New Suzuki Swift ถูกสร้างขึ้นตามมาตรฐานและคุณภาพของซูซูกิที่ทุกคนเชื่อถือและไว้วางใจมานาน กับความสำเร็จในการพัฒนาคอมแพ็คคาร์ ซึ่งถือเป็น DNA ของซูซูกิ ทีมวิศวกรได้พัฒนาโครงสร้างและสมรรถนะ New Suzuki Swift ให้เหมาะกับทุกสภาพถนน โดยทั้งภายในห้องทดสอบและถนนจริงครั้งแล้วครั้งเล่า ในภูมิประเทศที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่น่าพอใจ เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สนุกกับสมรรถนะการขับขี่และคุณภาพที่แตกต่าง

ภายใน
- ห้องโดยสาร ถูกออกแบบให้ดูดีมีสไตล์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ซ้ำแบบใคร
- พวงมาลัย 3 ก้าน และเกียร์แบบขั้นบันได ให้ความรู้สึกสปอร์ต
- ชุดอุปกรณ์เครื่องเสียง ประกอบด้วยวิทยุและเครื่องเล่นซีดี ออกแบบได้อย่างลงตัว ไร้รอยต่อ กลมกลืนกับดีไซน์ของตัวรถ

อุปกรณ์อำนวยความสะดวก
- สวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบริเวณพวงมาลัย ทำให้ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องปล่อยมือจากพวงมาลัย หรือละสายตาจากทัศนวิสัยเบื้องหน้า
- ระบบ Keyless Entry และ Keyless Start ช่วยให้สามารถเปิด-ปิดประตูรถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ และสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้เพียงแค่บิดสวิตช์สตาร์ท ให้ความสะดวกคล่องแคล่วกว่า
- ระบบปรับอากาศอัตโนมัติที่ทันสมัย สะดวกสบาย
- เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลังปรับพับได้ 60:40
- ประตูท้ายแบบ Electromagnetic

ความปลอดภัย
- มั่นใจได้กับ โครงสร้างตัวถังที่แข็งแกรง เสริมด้วยคานรับแรงกระแทกด้านข้าง
- ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรก (ABS) ทั้ง 4 ล้อ และระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ (EBD) พร้อมระบบช่วยเบรก
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า (SRS)
- ระบบกุญแจนิรภัย Immobilizer ช่วยป้องกันการโจรกรรม
New Suzuki Swift มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ M15A แบบ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 74 กิโลวัตต์ ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 133 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมเทคโนโลยี Variable Valve Timing (VVT) ให้กำลังและแรงบิดสูงทุกอัตราเร่ง ตอบสนองทุกการขับขี่ได้อย่างฉับไว ขับสนุกสุดเหวี่ยงได้ในสไตล์สวิฟท์

รัศมี วงเลี้ยวแคบเพียง 4.7 เมตร ทำให้ New Suzuki Swift มีความปราดเปรียวและมีความคล่องตัวสูง ในทุกๆ เส้นทางการขับขี่ ไม่ว่าถนนจะกว้างหรือแคบ จะเป็นตรอกซอกซอย หรือในอาคารที่มีพื้นที่จำกัด

ผสาน กับ Torsion-Beam Rear Suspension ของ New Suzuki Swift ผู้ขับขี่จะสามารถสัมผัสได้ถึงความสมดุลอย่างลงตัวระหว่างประสิทธิภาพและ ความรู้สึกสบายขณะขับขี่

ภายนอก
“New Suzuki Swift พลิกดีไซน์เพื่อความต่าง” ล้ำสไตล์ด้วยรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ใหม่แบบ “Cubical Design” ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างมาจากยุโรป ดูแตกต่างไม่ซ้ำแบบใคร

พร้อมบริการให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง (24 Hours Road Side Assistance)

New Suzuki Swift มีให้เลือก 2 รุ่น คือ รุ่น GA เกียร์อัตโนมัติ ราคา 599,000 บาท และ รุ่น GL เกียร์อัตโนมัติ ราคา 649,000 บาท



วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Toyota prius Fully Hybrid

“โตโยต้าในไทยมีนโยบายมุ่งมั่นพัฒนารถยนต์ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการใช้พลังงานน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นรถพลังงานทางเลือก และรถยนต์ไฮบริด ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากการเปิดตัวรถรุ่นคัมรี่ ทำให้โตโยต้าศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการพัฒนารถยนต์ไฮบริดรุ่นอื่นๆ แนะนำสู่ตลาดไทย”
นั่นเป็นคำกล่าวของ “เคียวอิจิ ทานาดะ” กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในการแถลงข่าวถึงทิศทางและนโยบายของโตโยต้าเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และยังบอกว่า… “ลูกค้าคนไทยไม่เพียงต้องการรถที่ประหยัด แต่ต้องการรถที่ขับสนุก มีอัตราเร่งที่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลให้โตโยต้าตัดสินใจเลือกรถไฮบริดทำตลาดก่อนอีโคคาร์ ที่เป็นรถเหมาะกับใช้งานในเมืองเท่านั้น”

และดูเหมือนว่ารถยนต์ไฮบริดดังกล่าว ได้เวลาจะถูกส่งมาเขย่าตลาดรถยนต์เมืองไทยแล้ว เมื่อมีรายงานข่าวว่าโตโยต้ากำหนดแผนแนะนำ “โตโยต้า พรีอุส” สู่ตลาดไทยช่วงปลายปี และจะเป็นรถตัวธงในการทำตลาดปี 2554 ที่สำคัญพรีอุสจะเป็นอีกโมเดลที่ขึ้นไลน์ผลิตในโรงงานประกอบรถยนต์นั่งของโตโยต้า ที่นิคมอุตสาหกรรมเกตุเวย์ จ.ฉะเชิงเทรา

โตโยต้า พรีอุส รุ่นแรกถูกเปิดตัวสู่ตลาดโลกในปี 2539 ถือเป็นรถยนต์ไฮบริดแบบ Mass production รุ่นแรกของโลก และนับว่าประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายเป็นอย่างมาก ปัจจุบันนับเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเผยโฉมครั้งแรกเมื่อต้นปี 2552 และมีกำหนดทำตลาดเต็มรูปแบบทั่วโลกในปี 2553 ซึ่งหากเป็นไปตามกระแสข่าวไทยก็จะแนะนำในปีนี้ และทำตลาดเต็มที่ในปี 2554

พรีอุสเป็นรถยนต์แบบไฮบิดเต็มรูปแบบ ที่เรียกกันว่า Fully Hybrid โดยในบางจังหวะสามารถขับเคลื่อนโดยอาศัยพลังจากเครื่องยนต์ หรือมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว หรือว่าจะให้ทั้ง 2 อย่างทำงานร่วมกันก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวลผลและการตัดสินใจของกล่องสมองกลที่ควบคุมการทำงาน แต่สำหรับรุ่นใหม่นี้มีความเหนือชั้นกว่า เพราะโตโยต้าได้ติดตั้งปุ่ม EV Drive Mode มาให้ สำหรับให้ลูกค้าเลือกขับเคลื่อน โดยอาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังมีโหมดอื่นให้เลือกใช้งาน เช่น Power Mode สำหรับรีดกำลังจากเครื่องยนต์ ด้วยการเพิ่มความไวในการทำงานของลิ้นปีกผีเสื้อ ที่ตอบสนองได้ทันกับการกดคันเร่ง หรือ Eco Mode สำหรับเน้นความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ระบบไฮบริดของพรีอุสเป็นแบบ Hybrid Synergy Drive หรือ HSD ซึ่งตอบสนองความเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ สันดาปภายใน แบบ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว พร้อมระบบวาล์วแปรผัน VVT-i ที่มีความจุ 1.8 ลิตร 98 แรงม้า จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบแม่เหล็กถาวร มีกำลังสูงสุด 80 แรงม้า แต่เมื่อรวมการทำงานของทั้ง 2 ส่วนเข้าด้วยกัน ขุมพลังไฮบริดรุ่นนี้สามารถตอบสนองกำลังสูงสุดได้ 134 แรงม้า ใช้เวลา 9.8 วินาที ในการทำอัตราเร่งจาก 0-96 กม./ชม.

พรีอุสส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT สู่การขับเคลื่อนแบบล้อหน้า และมีระดับการปลดปล่อยไอเสียออกสู่อากาศตามมาตรฐาน SULEV หรือ Super Ultra Low Emission Vehicle โดยมีค่าความประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 20.3 กม./ลิตร สำหรับการขับแบบผสมจากการทดสอบของ EPA ซึ่งตัวเลขดีกว่า 2 เจนเนอเรชันที่ผ่านมา นี่จึงนับเป็นทางเลือกที่ตอบสนองผู้บริโภคชาวไทย ให้ก้าวทันไปกับโลกยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง แต่นอกจากเรื่องเทคโนโลยีแล้ว ราคาเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภค ซึ่งตามรายงานข่าวเพื่อแจ้งเกิดในตลาดไทยให้ได้ โตโยต้าจึงวางราคาของ “โตโยต้า พรีอุส” ไว้ใกล้เคียงกับ “ฮอนด้า ซีวิค” ตัวท็อป หรือประมาณล้านต้น ๆเท่านั้น

Hyundai Sonata 2.0T กับการพิสูจน์ศักดารถโสม

หลังจากที่เงียบหายไปจากวงการยนตรกรรม ไปพักหนึ่งเพื่อปรับโครงสร้างภายในองค์กร แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงสำคัญของการเตรียมความพร้อมที่จะเดินก้าวต่อไปแล้วมาวันนี้ Hyundaiกลับมาพร้อมกับเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดที่เกาะกระแสของการนำระบบอัดอากาศมาใช้กับเครื่องยนต์ที่มีซีซีน้อยเพื่อให้มีเรี่ยวแรงหรือพละกำลังเท่ากับหรือมากกว่าเครื่องยนต์ที่มีทั้งจำนวนกระบอกสูบและซีซีเยอะกว่า แต่มีความประหยัดน้ำมันใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ซีซีน้อย ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลกต่างให้ความสนใจ และกำลังได้รับความนิยมอย่างมากโดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

ฮุนไดเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายล่าสุดที่นำเสนอเทคโนโลยีนี้ผ่านทางรถยนต์ครอบครัวรุ่นนิยมอย่างโซนาตา ซึ่งแม้ว่าจะมากับเครื่องยนต์ 4 สูบเรียงที่มีความจุแค่ 2,000 ซีซี แต่เมื่อกางตารางทางเทคนิคดูจะพบว่าจำนวนม้าในคอกมีเยอะแบบไม่ธรรมดา ความนิยมในแนวทางนี้เป็นผลมาจากการมองหาความประหยัดน้ำมันแต่คงสมรรถนะในการขับขี่ โดยก่อนหน้านี้ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,800 ซีซี ซูเปอร์ชาร์จ ที่เบ่งกล้ามได้ในระดับ 143-192 แรงม้า ก่อนที่แนวคิดนี้จะมาโด่งดังกับโฟล์คฯ ซึ่งเปิดตัวเครื่องยนต์ TSI หรือ Twincharger โดยจับระบบอัดอากาศมาติดตั้งในเครื่องยนต์บล็อกเล็ก แม้ว่าจะมีความจุเพียงแค่ 1,400 ซีซีเท่านั้น แต่มีระดับของแรงม้าให้เลือกตั้งแต่ 140 ตัวไปจนถึงในระดับ 180 ตัวกันเลยทีเดียว จากนั้นฟอร์ดจึงนำแนวคิด EcoBoost มาใช้และพัฒนาจนสามารถนำมาใช้งานได้จริงกับเครื่องยนต์ 4 สูบ และวี6
จุดเด่นของแนวคิดนี้คือ ความประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่มีแรงม้าเท่ากันแต่ทว่ามีจำนวนกระบอกสูบและซีซีเยอะกว่า ซึ่งถ้าเท้าขวาไม่หนักชนิดกดไม่ยั้งจนระบบอัดอากาศทำงานตลอด ความประหยัดน้ำมันที่ได้จากเครื่องยนต์ก็จะใกล้เคียงหรือมากกว่าเครื่องยนต์ที่มีความจุเท่ากัน แต่ถ้าอยากซิ่งก็กดได้เต็มๆ แบบไม่ต้องเกรงใจเพื่อให้เทอร์โบทำงาน ดังนั้นเครื่องยนต์จึงมีความยืดหยุ่นในการใช้งาน เพราะถ้าอยากได้ม้าเยอะก็ไม่จำเป็นจะต้องพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีความจุหรือจำนวนกระบอกสูบเยอะอีกต่อไป สำหรับฮุนได โซนาต้า 2.0T มากับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซีบล็อกใหม่ แถมด้วยระบบจ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง หรือ GDI และเทอร์โบแบบ Twin-Scroll เพื่อช่วยในการอัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ และปรับบูสต์เอาไว้สูงถึง 17.4 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว พร้อมเวสต์เกตทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้การควบคุมบูสต์ของเทอร์โบมีความแม่นยำมากขึ้น และปรับอัตราส่วนการอัดเอาไว้ที่ 9.5 : 1

ผลคือ กำลังสูงสุดในระดับ 274 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 37.1 กก.-ม. ที่ 1,800-4,500 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นกำลังที่ได้จากเครื่องยนต์แบบวี6 ที่มีความจุในระดับ 3,000 หรือ 3,500 ซีซีเลยทีเดียว หรือเครื่องยนต์มีแรงม้าต่อลิตรอยู่ที่ 137 แรงม้าต่อ 1 ลิตรส่งกำลังสู่ล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมโหมด SHIFTRONIC สำหรับเลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เอง ส่วนความประหยัดสำหรับการขับในเมืองอาจจะไม่หวือหวามาก เพราะอยู่ที่ 8.9 กิโลเมตรต่อลิตร แต่เมื่ออยู่บนไฮเวย์หายห่วงขยับขึ้นมาเป็น 13.8 กิโลเมตรต่อลิตร

การพัฒนามีขึ้นบนตัวถังแบบ 4 ประตูของโซนาต้าใหม่ในรหัส YF ที่ได้รับการปรับปรุงและเสริมแต่งเพื่อความสปอร์ตในอีกระดับ ทั้งล้อแม็ก 18 นิ้ว ปลายท่อไอเสียออก 2 ฝั่งซ้าย-ขวาและมูนรูฟแบบพานอรามิกควบคุมด้วยไฟฟ้า ขณะที่ระบบช่วงล่างมีการปรับความแข็งโดยเฉพาะในเรื่องการบิดตัวและความหนึบให้ดีขึ้นจากรุ่นมาตรฐาน 25 และ 17% ตามลำดับ การทำตลาดจะมีขึ้นในสหรัฐอเมริกาปลายปีนี้พร้อมกับรุ่นไฮบริด ส่วนราคายังไม่มีเปิดเผยออกมา แต่เชื่อว่าน่าจะแพงกว่า 24,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 816,000 บาทซึ่งเป็นรุ่นท็อปของเครื่องยนต์ 2,400 ซีซีไม่มาก


"Mazda 2" mini sport car

มาสด้า 2 ในแบบสปอร์ต ซีดานหรือรถยนต์นั่ง 4 ประตู เปิดตัวตามหลังมาสด้า 2 แฮทช์แบ็กที่ทำยอดขายถล่มทลายมาก่อนหน้า ถูกออกแบบมาให้ลายเส้นต่าง ๆ มารวมเป็นรูปทรงของรถยนต์ที่ให้ความรู้สึกแบบสปอร์ต ด้วยกระจังหน้าทรง 5 เหลี่ยมขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกับกันชน ด้านหลังมี สปอยเลอร์หลังแบบชิ้นเดียวกับฝากระโปรงท้าย

ห้องโดยสารใช้โทนสีเบจมาเป็นลูกเล่น เบาะนั่งด้านหน้ากว้างขวาง ส่วนเบาะหลังนั่งแค่ 2 คนกำลังดี รวมทั้งมีพื้นที่เก็บของตามจุดต่าง ๆ ทั่วรถ ส่วนระบบความบันเทิงมีให้ครบครันทั้งเครื่องเล่นวิทยุ ซีดี รองรับไฟล์เอ็มพี 3 ฟังก์ชันช่องเชื่อมต่อไอพอด พร้อมกับสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงจากพวงมาลัย

ตำแหน่งเบาะนั่งของคนขับปรับสูงต่ำให้พอดีกับสรีระเหมาะสำหรับขับทางไกลอย่างสบาย ด้วยผ้าโทนสีเบจสบายตาไม่นุ่มไม่แข็งเกินไป ระบบกุญแจอัจฉริยะ สมาร์ท คีย์เลส เอ็นทรี ที่เปิด-ปิดประตูโดยไม่ต้องใช้กุญแจ ปุ่มควบคุมและอุปกรณ์ต่าง ๆ ลงตัว

นอกจากนี้การนำเทคโนโลยี “น้ำหนักเบา” ซึ่งมีใช้ในมาสด้า เอ็มเอ็กซ์-5 เข้ามาใช้ช่วยลดน้ำหนักรถให้เบาเหลือเพียง 1,066 กิโลกรัม ส่งผลให้รถยนต์มีสมรรถนะด้านการขับขี่ การบังคับควบคุมและหยุดรถดี ความรู้สึกแรกที่รถออกตัวปราดเปรียวทันใจ เหมาะกับคนรุ่นใหม่ใช้ขับในเมือง เนื่องจากมาสด้า 2 ตัวนี้คล่องแคล่วลงตัวด้วยวงเลี้ยวแคบเพียง 4.9 เมตร

เมื่อมองขุมพลังมาสด้า 2 ใช้เครื่องยนต์แบบ MZR DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 1,500 ซีซี 103 แรงม้า มีแรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อม ระบบวาล์วแปรผันอัจฉริยะ S-VT และระบบวาล์วควบคุมการไหลเวียน TSCV แม้ว่าแรงม้าไม่มากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แต่ด้วยน้ำหนักที่เบาประกอบกับช่วงล่างที่เซตไว้ดีกลายเป็นจุดเด่น ไม่ว่าจะเป็นช่วงออกตัวจนถึงความเร็วระดับ 100 กม./ชม. พวงมาลัยเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบอิเล็ก ทรอนิกส์ (อีพีเอเอส) ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถได้อย่างแม่นยำ อย่างไรก็ตามเมื่อความเร็วขึ้นไปเกิน 120 กม./ชม. ยังไม่พบอาการโคลงแม้ว่าจะเข้าโค้งค่อนข้างเร็ว ท้ายมีอาการส่ายเล็กน้อย แต่มีผลดีช่วยให้การเข้าโค้งได้รวดเร็วขึ้น รวมทั้งมีโอกาสใช้เบรกเอบีเอสซึ่งผลที่ได้คือความมั่นใจตามมา

ทัศนวิสัยการขับค่อนข้างดี ทั้งกระจกด้านหน้า กระจกมองหลัง ยกเว้นการถอยจอด ซึ่งคนตัวเล็กอาจจะมีปัญหาการมอง เนื่องจากท้ายรถสูงทำให้ไม่เห็นสิ่งของที่อยู่ด้านหลัง ต้องระวังขณะถอยสักนิด การเก็บเสียงในห้องโดยสารค่อนข้างดีทีเดียวสำหรับรถเล็ก หากมองในภาพรวม มาสด้า 2 ซีดานถือว่าออกแบบลงตัวทั้งรูปร่างหน้าตารวมถึงความสนุกท้าทายในการขับขี่.

ข้อมูลทางเทคนิค มาสด้า 2 แม็กซ์ A/T

มิติ (ยาว/กว้าง/สูง) 4,244/1,695/1,476 มม.
แบบเครื่องยนต์ MZR DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อม ระบบ S-VT และ TSCV
ความจุกระบอกสูบ 1,498 ซีซี
กำลังสูงสุด 103 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที
เกียร์ อัตโนมัติ 4 จังหวะ
ราคา 675,000 บาท



วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Ford Focus RS500

Ford ได้เผยภาพและรายละเอียดของรถเวอร์ชั่นสุดโหดของ RS อย่าง Focus RS500 ก่อนกำหนดการตามแผนงานเดิมอันเนื่องมาจากว่ากระแสความสนใจของลูกค้ามี มากกว่าที่คิดไว้มาก Ford เลยสนองในเบื้องต้นโดยการปล่อยภาพสวยๆชัดๆพร้อมวิดีโอที่ทำให้ผู้กำลังรอคอย รู้สึกเข้าใกล้รถเล็กแต่แรงรุ่นนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่ง Focus RS500 เป็นรุ่น Limited Edition ที่จะผลิตออกมาจำหน่ายเพียง 500 คันเท่านั้นและใช้สียอดนิยมในปัจจุบันคือ สีดำด้าน

ระบบขับเคลื่อนของ Focus RS500 เป็นเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.5 ลิตร ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ ให้กำลังรวม 345 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 460 นิวตันเมตร ที่ระหว่าง 2,500-4,500 รอบ/นาที ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นจากเดิม 15% ส่วนแรงบิดเพิ่มขึ้น 4.5% อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ดีขึ้นที่ 5.6 วินาที ลดลงจากเดิม 0.3 วินาที จากที่เคยทำได้โดย Focus RS และทำความเร็วแตะระดับ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 12.2 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 265 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งความเร็วที่ดีขึ้นจากเดิมอีก 2 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็เนื่องมาจากการอัพเดทซอฟท์แวร์ใหม่ให้กับ ECU การใช้อินเตอร์คูลเลอร์และตัวกรองอากาศขนาดใหญ่ขึ้น มีการปรับปรุงในเรื่องระบบการอัดฉีดน้ำมันและท่อไอเสียก็มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ด้วย การปรับแต่งรับผิดชอบโดย Ford TeamRS ร่วมมือกับ Revolve Technologies

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นคือ Focus RS500 ใช้การหุ้มฟอยล์สีดำด้าน โดยวิ่งบนล้ออัลอยขอบ 19 นิ้วสีดำเช่นกัน ใช้คาลิปเปอร์เบรคสีแดง ภายในห้องโดยสารบริเวณคนขับจะเห็นแผ่นเหล็กที่ติดอยู่บริเวณคอนโซลแสดงหมาย เลขประจำตัวรถ มีการใช้เบาะที่นั่งของ Recaro ระบบปรับอากาศแบบ Dual Zone บลูทูธ ระบบเครื่องเสียงของ Sony และอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ Ford มีแผนจำหน่าย Focus RS500 ใน 20 ประเทศทั่วยุโรปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2553ในงาน 2010 Leipzig Motor Show ประเทศเยอรมันนีครับ

มีคลิปสั้นๆยั่วใจมาให้ชมกันครับ



Isuzu D-Max X-Series


Isuzu D-Max X-Series ภายนอกโดดเด่น ท้าทายทุกสายตา

* รหัสร้อนแรงกับสัญลักษณ์ ISUZU สีแดงโดดเด่นไม่เหมือนใคร
* ตกแต่งลายคาดคู่ด้านหน้าสไตล์สปอร์ต เอกลักษณ์แห่งความโฉบเฉี่ยว ในรุ่น Speed และ Hi-Lander 2500 Ddi
* ตกแต่งสคูปฝากระโปรงหน้าเท่ ดุดัน เน้นเอกลักษณ์ความแรงในรุ่นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo
* ขอบหน้าต่างและแถบกันกระแทกด้านข้าง โดดเด่นด้วยวัสดุโครเมี่ยม
* ตกแต่งด้วยสีเทาพิเศษรอบคัน ทั้งขอบล้อ (Fender) และบันไดข้าง (Side Step) ขับเน้นความเท่ทุกเส้นทางในรุ่น LS
* ชุดสเกิร์ตรอบคันขับเน้นความเท่ สปอร์ตเร้าใจ (ในรุ่น Speed)

Isuzu D-Max X-Series ภายในตกแต่ง ให้อารมณ์สปอร์ต พร้อมความบันเทิง

* สัญลักษณ์ ISUZU สีแดงที่พวงมาลัย
* มาตรวัด Super Vision ใหม่แบบสปอร์ต พร้อมแผงควบคุมเรืองแสงสีส้มแอมเบอร์ให้อารมณ์สปอร์ต
* ห้องโดยสารโทนเข้มสุดเท่ พร้อมเบาะนั่งและวัสดุบุข้างประตูขับเน้นสีแดง
* พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนังแท้จับกระชับ

ระบบความบันเทิงสมบูรณ์แบบ Platinum Entertainment จาก Kenwood ด้วยชุดเครื่องเล่นดีวีดีที่คอนโซล หน้าขนาด 7 นิ้ว (2 Din) ควบคุมการทำงานด้วยระบบสัมผัส พร้อมเชื่อมต่อความทันสมัย สนุกไปกับทุกจังหวะชีวิตทั้ง iPod, iPhone และ BlackBerry รวมถึง Bluetooth Connection ต่อติดทุกการสื่อสารยุคใหม่อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย (*ต้องเชื่อมต่อด้วยอุปกรณ์เสริมพิเศษเพิ่มเติม) พร้อม Platinum Vision Camera กล้องมองภาพขณะถอยหลัง เสริมความคล่องตัวให้ไลฟ์สไตล์ในเมือง (ในรุ่น LS และ Hi-Lander)

เครื่องยนต์ดีเซล ซูเปอร์คอมมอนเรล มาตรฐาน Euro 3

กระชากใจไปทุกเส้นทาง สุดประหยัด ได้มาตรฐาน Euro 3 พร้อมรองรับพลังงานทางเลือกดีเซล B5 ชุดเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แบบสปอร์ตพันธุ์ดุ เข้าเกียร์ง่าย แม่นยำ ขับมันทุกสถานการณ์ ระบบเทอร์โบแปรผัน VGS Turbo ให้ความแรงสวนทางกับอัตราสิ้นเปลือง

1. เครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS Turbo 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 360 นิวตัน-เมตร
2. 2500 Ddi Turbo 116 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 280 นิวตัน-เมตร

Isuzu D-Max X-Series มันได้กับทุกที่สุดโปรด สนุกได้ทั้งในและนอกเมือง เกาะถนนเป็นเยี่ยม

* TOUCH-ON-THE-FLY ระบบเลือกโหมดขับเคลื่อนควบคุมด้วยไฟฟ้า เปลี่ยนจากขับเคลื่อน 2 ล้อเป็น 4 ล้อ ได้ด้วยปลายนิ้วสัมผัส เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ได้ง่ายดั่งใจ
* Independent Double Wishbone
* Torsion Bar แกร่ง ทนทาน สำหรับรุ่น LS และ Hi-Lander
* Coil Spring นุ่มหนึบ เกาะถนน สำหรับรุ่น Speed
* Super Flex-Plus Suspension ช่วงล่างออกแบบพิเศษ สำหรับรุ่น 4 ประตู ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ แต่หนึบแน่น ทรงตัวเป็นเยี่ยมในทุกโค้ง
* เฟืองท้ายแบบมีลิมิเต็ดสลิปในรุ่น LS ลดปัญหาล้อหมุนฟรีขณะวิ่งในทางวิบาก

ขับเคลื่อนสู่กิจกรรมใหม่ๆ ให้ชีวิตสนุกอย่างมีสไตล์ ระบบเพื่อนนำทางอัจฉริยะ i-GENii ถึงทุกที่หมายได้อย่างรวดเร็ว ทำงาน ทำเวลา ทำความคุ้มค่าให้ชีวิต ด้วยการวางแผนการขับขี่ที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น เสริมสร้างความมั่นใจในการเดินทางค้นหาประสบการณ์ใหม่ ๆ แม้ในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย (ในรุ่น LS และ Hi-Lander)
ระบบป้องกันทั้งก่อนเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และหลังเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) ให้คุณเดินทางค้นหาไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ได้อย่างอุ่นใจ

* แอร์แบคคู่ ทำงานร่วมกับเข็มขัดนิรภัย ช่วยลดแรงกระแทกต่อผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนหน้า (อุปกรณ์เฉพาะรุ่น)
* ระบบเบรก ABS ชนิด 3-Channel 4-Sensor พร้อมระบบควบคุมแรงดันน้ำมันเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBD (อุปกรณ์เฉพาะรุ่น)
* Platinum Vision Camera กล้องมองภาพขณะถอยหลัง เสริมความคล่องตัวให้ไลฟ์สไตล์ในเมือง (ในรุ่น LS และ Hi-Lander)
* ไฟหน้าแบบเลนส์ Projector ส่องสว่างชัดเจน และไฟตัดหมอกหน้าเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่
* โครงสร้างตัวถังในรุ่น 2 ประตู เป็นโครงสร้างห้องโดยสารแบบมีเสากลาง (Safety Pillar Cab) และประตูเสริมคานเหล็กนิรภัย เสริมความแข็งแกร่ง พร้อมช่วยรองรับแรงกระแทกจากการชน

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

BENZ C-Class C200CGI และ C250CDI


มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด ทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน เทคโนโลยี CGI และรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทคโนโลยี CDI โดย 2 เครื่องยนต์ใหม่ผลิตภายใต้แนวคิด BlueEFFICIENCY ช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและช่วยลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เสริมทัพในตระกูล C-Class ส่งรุ่นใหม่ออกสู่ตลาดรถหรูพร้อมกันถึง 2 รุ่น คือ C 200 CGI BlueEFFICIENCY และ C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE ชูเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม BlueEFFICIENCY ของยนตรกรรม C-Class นอกจากนี้เครื่องยนต์ทั้ง 2 รุ่น ผลิตมาเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในตลาดประเทศไทยรวมถึงชนิดของน้ำมันด้วย ลูกค้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงมั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาต่อเครื่องยนต์ใน อนาคต C 200 CGI BlueEFFICIENCY มี สไตล์การตกแต่งให้เลือก 3 แบบ คือ C 200 CGI BlueEFFICIENCY, C 200 CGI BlueEFFICIENCY ELEGANCE และ C 200 CGI BlueEFFICIENCY AVANTGARD โดยทั้ง 3 แบบมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซินใหม่ ที่ให้พละกำลังและความเร้าใจในการขับขี่ ด้วยเครื่องยนต์ CGI แถวเรียง 4 สูบ ขนาดความจุ 1,796 ซีซี ให้พละกำลังเครื่องยนต์ 135กิโลวัตต์ 184 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที แรงบิด 270 นิวตันเมตร ที่ความเร็ว 1,800 – 4,600 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100กิโลเมตรภายในเวลา 8.2 วินาที ความเร็วสูงสุด 232 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยเครื่องยนต์ CGI นี้จะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง 10 เปอร์เซ็นต์ มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันโดยเฉลี่ยเพียง 13 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซค์จากท่อไอเสียที่ 168-184 กรัม/กิโลเมตร และสามารถใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน E10 และ E 20

C 250 CDI BlueEFFICIENCY AVANTGARDE มา พร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ คอมมอนเรลเจเนเรชั่นที่ 4 ควบคุมการจ่ายเชื้อเพลิงแรงดันสูงได้อย่างแม่นยำด้วยหัวฉีด piezo injector พร้อมแรงดันในรางน้ำมันที่สูงถึง 2,000บาร์และแรงอัดอากาศจากเทอร์โบ 2 ชุด ที่ให้ประสิทธิภาพทั้งแรงม้าแรงบิดแรงขึ้นกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่รุ่นนี้จะทำงานราบเรียบ นุ่มนวลและเงียบมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ C 250 CDI BlueEFFICIENCY มาพร้อมกับเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบชาร์จความจุ 2,143 ซีซีให้พละกำลังเครื่องยนต์ 150 กิโลวัตต์ที่ 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบต่อนาที แรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ความเร็ว 1,600 - 1,800 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชม.ภายใน 7 วินาที ความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง สิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยเพียง 17 กิโลเมตร/ลิตร ปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซค์จากท่อไอเสียที่ 153-167 กรัม/กิโลเมตร“เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนายนตรกรรมในรุ่น C-Class มาโดยตลอด เพื่อตอบรับนโยบายของบริษัทในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ยั่งยืน ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์ที่ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มสมรรถนะการขับขี่ให้สูงยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี Blue EFFICIENCY ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้บรรจุไว้ทั้งในแบบเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล”
ด้านความปลอดภัย C-Class โดดเด่นด้วยระบบPRE-SAFE® ระบบความปลอดภัยเพื่อการปกป้องก่อนเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งเป็นนวัตกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่กวาดรางวัล มาแล้วมากมาย ระบบนี้จะสั่งใช้มาตรการปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ทำงานร่วมกันกับระบบช่วยเบรกBrake Assistและโปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP®) ที่จะประเมินได้ว่าอาจเกิดอุบัติเหตุ ก็จะสั่งให้ระบบ PRE-SAFE® ทำ งานด้วยการปรับเข็มขัดนิรภัยพร้อมปรับเบาะนั่ง ให้อยู่ในภาวะเตรียมพร้อมที่จะปะทะกับอุบัติเหตุ ถุงลมนิรภัย 10 ตำแหน่ง ซึ่งติดตั้งอยู่ในจุดสำคัญต่างๆ เช่นบริเวณด้านหน้า 2 ตำแหน่งด้านข้าง 4 ตำแหน่งและ ม่านถุงลมนิรภัย 4 ตำแหน่งเสริมความมั่นใจด้วยเข็มขัดนิรภัยแบบผ่อนแรงและรั้งกลับ

นอกจากนี้ C-Class ได้ติดตั้งระบบกันสะเทือนและระบบพวงมาลัยแบบ AGILITY CONTROL นวัตกรรมล่าสุดที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปแบบคล่องแคล่วปราดเปรียว พร้อมทั้งสามารถบังคับการควบคุมได้แม่นยำและเที่ยงตรงมากขึ้นด้วย แต่คงความนุ่มนวลและมีการทรงตัวอย่างดีเยี่ยมด้วยโช้คอัพที่สามารถปรับการทำ งานแบบอัตโนมัติ ให้เหมาะกับทุกสถานการณ์ของการขับขี่และสภาพของถนนที่เปลี่ยนไป และจะทำงาน ให้สัมพันธ์กันกับทุกสไตล์ของการขับขี่ จึงได้สัมผัสอารมณ์สนุกการขับขี่มากขึ้นด้วย

ด้วยคุณสมบัติเรื่องสมรรถนะและประสิทธิภาพของการขับขี่ทำให้ C-Class ได้รับรางวัลมากมายในหลากหลายสาขาจากทั่วโลก เช่น C-Class เป็นรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเป็นรุ่นแรกในเซ็กเม้นท์เดียวกัน ที่ได้รับประกาศนียบัตรถรักษาสิ่งแวดล้อมดีเด่น (ISO-Norm14062) จาก German Technical Inspection Authority ประเทศเยอรมนี รางวัลจากหน่วยงาน Insurance Institute for Highway Safety (IIHS) ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้เป็นรถที่มีความปลอดภัยสูงสุดในเซ็กเม้นท์เดียวกัน ที่สำคัญยังได้รับการจัดลำดับให้เป็นรถที่มีความปลอดภัยสูงสุดระดับ 5 ดาวจากการทดสอบการชนของ Euro NCAP อีกด้วย


MITSUBISHI เปิดตัว 2 รุ่นพิเศษ เพียง 200 คัน

ผู้ใช้รถหลายคนตัดสินใจซื้อรถใหม่ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนๆ กันคือการคิดที่จะนำรถใหม่ไปตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อให้ตรงความต้องการมากขึ้น จากจุดนี้เองที่ทำให้ผู้ใช้รถต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น นอกจากนี้การติดตั้งหรือตกแต่งเพิ่มเติมกับร้านที่ไม่ได้มาตรฐาน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับรถคันโปรด โดยคาดไม่ถึง เพราะการแต่งรถบางครั้งมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเจาะตัวถัง หรือรื้อพรมเพื่อวางระบบ หากร้านที่ไม่ได้มาตรฐานอาจจะเกิดการเสียหายกับรถที่ท่านรักได้ ค่าย MITSUBISHI เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าในจุดนี้ เป็นอย่างดี จึงได้เกิดแนวคิดผลิตรถรุ่นนี้ขึ้นเพื่อเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ ด้วยการตกแต่งที่ผ่านมาตรฐานจากโรงงานที่ผลิต และที่สำคัญมีการจำกัดจำนวนเพียง 200 คันเท่านั้นเพื่อเป็นการรับประกันว่า คอลเลคชั่น ชุดนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะคุ้มค่า คุ้มราคา ซื้อแล้วใช้ได้เลยมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รุ่นตกแต่งพิเศษ 2 รุ่นที่ว่านี้คือ รุ่น “2.0 GT แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์” พกความสปอร์ตรอบคัน ราคา 1.085 ล้านบาท และรุ่น “1.8 จีแอลเอส ลิมิเต็ด”แต้มหรูด้วยโครเมี่ยมภายนอกภายใน ราคาเริ่มต้น 9.45 แสนบาท“ด้วยความโดดเด่นของรถยนต์มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ที่มาพร้อมภาพลักษณ์และอารมณ์สไตล์สปอร์ต ทางมิตซูบิชิจึงได้เสนออีกหนึ่งทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยการนำมา ตกแต่งเพิ่มเติม โดยในรุ่น จีที (เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร)


ตกแต่งด้วยชุดอุปกรณ์ตกแต่งแท้จากแรลลี่อาร์ตในรุ่นพิเศษ “แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์”ในขณะที่รุ่น จีแอลเอส ลิมิเต็ด (เครื่องยนต์ 1.8 ลิตร) จะมาพร้อมชุดแต่งจากมิตซูบิชิ พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เสริมต่างๆ เพื่อสร้างความแตกต่างและให้ความสะดวกสบายในการใช้งานมากยิ่งขึ้น โดยใช้ชื่อรุ่นว่า “สมาร์ท คอนเซ็ปต์”มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ได้รับการแนะนำสู่ตลาดเมืองไทยใน เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งมาพร้อมแนวคิด “Sensational Intelligence” ด้วยรูปทรงที่ทันสมัยเร้าใจ ความอัจฉริยภาพในการขับขี่ที่เหนือกว่า นอกจากนี้ยังมีความโดดเด่นในเรื่องของระบบความปลอดภัย พร้อมสมรรถนะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมีเครื่องยนต์ ให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ เครื่องยนต์ MIVEC II FFV (Flexible Fuel Vehicle) ขนาด 1.8 ลิตร รองรับการใช้น้ำมันได้หลากหลายตั้งแต่เบนซินธรรมดาไปจนถึง น้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 85 และเครื่องยนต์ MIVEC II ขนาด 2.0 ลิตร รองรับถึงน้ำมันแก๊สโซฮอล์ อี 20

สำหรับ มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รุ่นตกแต่งพิเศษ “แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์ ” เป็นการนำรุ่นจีที (GT) มาตกแต่งเพิ่มเติม เน้นความโดดเด่นด้วยอุปกรณ์ตกแต่งแนวสปอร์ตรอบคัน โดยนอกจากจะมาพร้อมกรอบกระจังหน้าแบบสีดำที่รับกับล้ออัลลอยล์ ใหม่ขนาด 18 นิ้ว แบบ Dark Gray รวมไปถึงชุดชายกันชนหลัง แล้ว ยังเพิ่มความดุดันและโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแท้ จากแรลลี่อาร์ต ไม่ว่าจะเป็น แผ่นฟอยล์แรลลี่อาร์ตตกแต่งทั้งกันชน หน้า-หลัง สปอยเลอร์หลัง และชายด้านข้างรวมทั้งเสริมมาดเข้มด้วยวงแหวนครอบไฟตัดหมอก และแผงครอบใต้กันชนหลัง ในขณะที่ภายในได้รับการตกแต่งให้โฉบเฉี่ยวให้ ความรู้สึกพิเศษจากชุดแต่งดีไซน์สปอร์ตด้วยชุดวงแหวนครอบสวิตซ์ ควบคุมอุณหภูมิแบบโครเมียม พร้อมหัวเกียร์และหุ้มเบรคมืออะลูมิเนียม นอกจากนี้ยังเพิ่มความลงตัวด้วยชุดแผงครอบสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิ และชุดแผงครอบแป้นเกียร์สีเงิน รวมไปถึงฝาครอบบันไดสเตนเลสจากแรลลี่อาร์ต


ในขณะที่รุ่น “สมาร์ท คอนเซ็ปต์” จะเป็นการนำรุ่น จีแอลเอส ลิมิเต็ด (GLS Ltd.) มาตกแต่งให้เท่ยิ่งขึ้นด้วยชุดแต่งแบบโครเมียม ทั้งแผงครอบช่องดักลมกันชนหน้า คิ้วตกแต่งชายฝากระโปรงท้าย และชุดฝาครอบมือจับประตู ลงตัวยิ่งขึ้นด้วยการติดตั้งลิปสปอยเลอร์หลัง สำหรับการตกแต่งภายในเน้นความลงตัวและหรูหราทำให้รถดูกว้างสบาย และสะดุดตายิ่งขึ้นด้วยโทนสีเงิน “Cool Silver” ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคอนโซลหน้าและแผงข้างประตู ชุดแผงครอบแป้นเกียร์ รวมไปถึงชุดแผงครอบสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิ ซึ่งรับกับชุดวงแหวนครอบสวิตซ์ควบคุมอุณหภูมิแบบโครเมียม


มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รุ่นตกแต่งพิเศษ ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 200 คัน โดยในรุ่น “สมาร์ท คอนเซปต์” มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีบรอนซ์เงิน สีดำ ราคา 945,000 บาท และ สีขาวมุก “ไวท์เพิร์ล” ราคา955,000 บาท และ รุ่น “แรลลี่อาร์ต คอนเซ็ปต์” มี 3 สีให้เลือก ได้แก่ สีแดง สีบรอนซ์เงิน และสีเทาดำ พร้อมราคาขาย1,085,000 บาท อีกทั้งยังมั่นใจด้วยการรับประกันชุด อุปกรณ์ตกแต่งนาน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร
ยังไม่ต้องเชื่อนะครับ ต้องลองไปพิสูจน์ดูด้วยสายตาก่อนว่าแนวคิด“แรลลี่อาร์ต”จะลงตัวได้อย่างไรกับการนำเทคโนโลยีรถแรลลี่ ที่ค่ายนี้ก็ไม่เป็นรองใคร มาแต่งให้สวยหรูดูสำอางค์ ในสไตล์สปอตครับ อ้อ..ที่ลืมบอกไปคือทั้งสองรุ่นนี้มีการติดตั้งระบบนำทางหรือ GPS ที่ผู้ใช้รถหลายๆท่านกำลังมองหามาใช้งาน มาให้เรียบร้อยโรงงานครับ